ชูเฮิงกลืนน้ำลายเอื๊อก
เขารู้สึกแปลก ๆ เมื่อเห็นเด็กน้อยพยายามลุกขึ้น และเขาไม่รู้ว่าเขารู้สึกทำอะไรไม่ถูกหรือลนลานอยู่ พอเขาตั้งสติได้อีกครั้ง เขาก็อ้าปากกินองุ่น
องุ่นซึ่งเป็นหนึ่งในผลไม้ที่ชูเฮิงไม่ชอบ แต่วันนี้เขารู้สึกว่าองุ่นนี้มีรสชาติหวานเป็นพิเศษโดยมีรสติดปากอยู่
เขาก้มศีรษะลงและมองดูเด็กตัวน้อยกำลังกินเพลิน
มือเล็ก ๆ นุ่มๆก็เด็ดองุ่นขึ้นมา
แล้วอ้าปากน้อยๆของเขากว้างดูดองุ่น ดวงตาของเขาปรืออย่างเพลินอารมณ์ ใบหน้าบ่งความพึงพอใจราวลูกแมวน้อยจอมขี้คร้าน
รู้สึกแปลกแปร่งอีกแล้ว
ทำไมเด็กคนนี้ไม่ป้อนเขาต่อ?
ชูเฮิงรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
และดูเหมือนเขาจะไม่สบอารมณ์ ซู่หนิงที่ก้มหน้าลงเล่นเกมมือถือไม่ได้สังเกต……
หลังจากนั้นไม่นาน
ซูหนิงก็ชักง่วงนอน เขาบิดขึ้เกียจจนเปิดเห็นพุงขาวราวหิมะของเขา
ชูเฮิงเบือนสายตาไปทันที ด้วยคิ้วของเขามุ่นนิดๆและเสียงของเขาลึกต่ำ เขากล่าวว่า: "ไปแปรงฟันไป"
อา?
ชูหนิงกระพริบตาอันเป็นส่วนดูดีที่สุดในร่างกายเขาจากนั้นขนตาเขาก็ไหว:” โอเค!”
เขารู้สึกขี้เกียจมาก
แต่ถ้าเขายังอยากไต่ขึ้นเตียงของพี่ชายที่กลัวเชื้อโรคจัดแล้ว เขาก็จะต้องขยัน!
ซู่หนิงหาวหวอดๆ และเมื่อเขาเดินกลับไปที่ห้องตัวเอง เขาก็มองกลับไปที่พี่ชายของเขาหลายครั้ง
ตัวพิงกับผนังเขานวดเอวด้วยมือเล็ก ๆ โซฟายาวในทำงานของพี่ใหญ่แข็งเกินไป ถ้าเขานั่งนานเกินไปก้นของเขาจะเริ่มเหน็บกิน
เขาแปรงฟันและล้างหน้า
แล้วจากนั้นซู่หนิงก็เปลี่ยนเสื้อผ้า เขากอดหมอนของเขาและเดินเข้าไปในห้องพี่ชายเขา
แต่ชูเฮิงไม่ได้อยู่ที่นั่น?
เป็นครั้งแรกที่
ซูหนิงเช็คสภาพรอบๆของเขาอย่างถ้วนทั่วและรอบคอบ ห้องนั้นเป็นเปี่ยมไปด้วยความมืด ราวกับเป็นธรรมชาติที่เย็นชาและไร้อารมณ์ของคนอาศัย
ใครเป็นคนออกแบบห้องนี้ให้ซูเฮิง มันเป็นเพราะใครจงใจหรือเป็นความคิดของซู่เฮิง
โดยปรกติพื้นที่ของเด็กน้อยออกจะมีชีวิตชีวาหรืออบอุ่นมากกว่า ซึ่งเทียบแล้วนี่ก็แตกต่างไปจากบุคลิกเรียบง่ายของซูเฮิง
ทำไมพี่ใหญ่ถึงยังไม่กลับมา?
ซู่หนิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
จากนั้นกลับไปที่ห้องทำงานอีกครั้ง แต่ทันทีที่เขาเปิดประตูเขารู้สึกว่าไม่น่าเลย เพราะชูเฮิงกำลังคุยโทรศัพท์อยู่
เขาหันกลับมามองเมื่อได้ยินเสียง และดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหด ซึ่งรู้สึกหนาวเหน็บถึงกระดูกราวกับว่าเขาอยากเอาชีวิตของซู่หนิงในหลังจากนั้น
เขาไม่กล้าสบตากับพี่ชายตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว ไม่ว่าเขาเองจะเกลียดเขามากแค่ไหน หายใจแรงยามอยู่ต่อหน้าหน้าเขายังไม่กล้าเลย
“ ขอโทษ” ซู่หนิงไม่รู้ว่าทำไมแต่เขาอยากร้องไห้ เขาปิดประตูแล้วซอยเท้าวิ่งกลับไปที่ห้องตัวเองแล้วก็ล็อคประตู ดูจะมีปฏิกิริยารุนแรงเกินไป พี่ใหญ่จะเกลียดเขาไหมนี่
ถ้าเกิดจริงขึ้นมานั่นก็คงจะแย่แล้ว แต่ซูหนิงนึกอะไรไม่ออก
เมื่อมีสิ่งใดเข้าไปฝังจิตฝังใจคุณต้องอาศัยเวลาปรับตัวช้าๆ
คิดถึงน้าจริงๆ!
ตอนนี้ดึกเกินไปแล้วเขาจึงไม่อาจโทรศัพท์ได้ แล้วก็เห็นได้ชัดว่าเขามีพ่อแม่อยู่แม้ไม่อบอุ่น ตอนนี้เพียงคนเดียวที่เขาพึ่งได้คือคนที่เขาเกลียดที่สุดในชีวิตที่ผ่านมา
ฉันเป็นคนล้มเหลวหรือเปล่า
ชูหนิงหงุดหงิดไปเป็นสิบนาที
แต่บางทีถ้าเขายอมให้ตัวเองต้องทนทุกข์แค่สิบนาทีแล้วฟื้นพลังขึ้นมา บางทีอะไรๆจะดีขึ้นในวันพรุ่งนี้
ไม่ว่าเขาจะประสบความสำเร็จในการเกาะติดเขาหรือไม่ก็ตาม
ซูหนิง ยังเป็นซูหนิง อาศัยความได้เปรียบของความทรงจำในชีวิตก่อน ด้วยการคาดการณ์ล่วงหน้าเขายังสามารถกลายเป็นเศรษฐีพันล้าน เอาไว้เมื่อเขาโตขึ้น ย่อมโผบินได้อิสระเหมือนนกข้ามท้องฟ้า
ชูเฮิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับซูหนิง
แต่เมื่อเด็กน้อยวิ่งหนีออกไป สายตาของเขาดูเสียขวัญราวกับว่าเขาทำผิดพลาด นั่นทำให้เขามีสติขึ้นมาบ้าง
ตอนแรกเขาตั้งใจจะอ่านหนังสือให้จบ
แต่เนื่องจากเขารู้สึกไม่สบายใจ ให้แล้วๆกันไปท่าจะดีกว่า
ไม่มีใครอยู่ในห้องเขา
ไม่ใช่ว่าเด็กคนนั้นกลัวเหรอ?
คิ้วของซู่เฮิงขมวดเข้า
เขาไปที่ห้องถัดไปแล้วหมุนลูกบิดประตู มันถูกล็อค ชูเฮิงที่ยังนิ่วหน้านิดๆ รู้สึกออกจะข้องใจ ดังนั้นเขาจึงไปหากุญแจมาเปิดประตู
ข้างในมันเงียบเด็กน้อยกำลังนอนหลับอยู่ในซอกระหว่างเตียงกับผนังที่แคบมาก และที่ด้านล่างมีหมอนวางเป็นตั้งคลุมด้วยผ้าห่ม
แม้แต่หัวของเขาก็ไม่โผล่ออกมา
เขาไม่รู้ว่าทำไม
แต่ในอกของเขารู้สึกแน่นราวกับว่าเขาหายใจไม่ออก
ชูเฮิงหยิบหมอนขึ้นมาโยนออกไป
จากนั้นค่อยๆยกผ้าห่มขึ้นและอุ้มตัวน้อยไปที่เตียงนุ่ม เขานอนลงอีกด้านหนึ่งและคลุมทั้งสองด้วยผ้าห่ม
เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับการเลี้ยงดูอย่างเอาใจใส่
ทำไมเขาถึงผอมเหลือเกิน ไม่มีเนื้อไม่มีหนังอ้วนขึ้นเลย เขาไล้มือเขาบนหลังของเขา และแตะใบหน้าเล็ก
ๆ นั้น ชูเฮิงก็ง่วงด้วยเช่นกัน
แต่ก่อนที่เขาจะหลับเขาก็สังเกตเห็นว่าร่างกายน้องชายของเขาหอม และผมของเขาก็นุ่มมาก
แม้แต่ลมหายใจของเขาก็อุ่น……
ใคร ๆ ก็คงนึกออกว่า
ซูหนิงตกใจแค่ไหนในเช้าวันรุ่งขึ้น
ฉันถูกผีหลอก
ทำไมฉันจึงร่วมหมอนกับพี่ชายฉัน
ขนาดว่าหัวของพวกเขาชิดกันจนผมพันกัน ดูไม่ออกว่าของใครเป็นของใคร
ใบหน้าที่หลับของซู่เฮิงดูสงบนักราวกับเจ้าชาย
เขามีขนตายาวและความหล่อเหลาของเขาก็ไม่มีใครเทียบได้……สายตาของเขามัวหม่นเมื่อเขาลืมตา ออกจะเยิ้มฉ่ำ และหลังจากเวลาล่วงเลย
ก็กลับมาคมชัดลึกอย่างช้าๆ
อ่า……ไม่น่ารักเลย
"คิดอะไรอยู่?"
“ อ๋า?” ซู่หนิงกระพริบตาขนตาของเขาจรดใบหน้าพี่ชายของเขา: ” อรุณสวัสดิ์!”
ระคายคอเขาจึงกระแอมออกมา
ชูเฮิงลุกขึ้น:” เธอกลับไปได้แล้ว แปรงฟันแล้วล้างหน้าด้วย”
"ตกลง!"
ซู่หนิงยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว
โชคดีที่ในวันนี้พวกเขาแขนขาไม่พันกัน ถ้าไม่เช่นนั้นมันน่าอายเกินไป
หลังจากวิ่งไปไม่กี่ก้าว ซูหนิงก็ทำเสียง“
เอ๋” และรู้ว่าห้องนี้ดูคุ้นๆ มันเป็นห้องเขา! ฮ่าฮ่าฮ่า ดังนั้นถึงคราวที่ซู่เฮิงพลาด? ฉันต้องแซวเขา ฉันจะเสียใจไปตลอดชีวิตที่เหลือถ้าฉันไม่ได้เห็นเขาทำหน้าอายๆออกมา
ตราบใดที่เขาไม่ใส่ใจที่จะเปิดเผยตัวเองนั่นก็จะเป็นการดี
ก่อนที่ซู่หนิงจะหันกลับมาหยอกล้อ ซู่เฮิงเดินก้าวยาวๆผ่านเขาไปอย่างเยือกเย็น
และออกไปโดยไม่ได้เหลียวมามอง
ยี้ !!!
โอกาสเดียวที่ฉันมีในชีวิตนี้ก็หลุดลอยไปแบบนั้นเหรอ? น้ำตาของซู่หนิงไหลพรากเป็นสาย ใจสลาย
เมื่อฉินหยูโจวเตรียมอาหารอย่างมีความสุข
ซู่เฉิงก็ออกไปแล้ว
ก่อนอื่นเขาไม่สามารถทนเห็นภรรยาของเขายุ่งทั้งกลางวันและกลางคืนเป็นเวลานาน เขาคิดว่าพวกเขาควรฉลองในความฝันของเขา
แน่นอนว่าเขาไม่คิดจะยอมแพ้ เขาต้องกล่อมพวกเขา! เวลากำลังกดดันเขา เขาคิดหาแผนง่อยๆอะไรไม่ออก
ตอนนี้เขาได้แต่ปกปิดมัน และประการที่สองคือการต่อสู้ข้ามคืนโต้รุ่งของทีมเขา แผนใหม่กำลังดำเนินการอยู่
ทุกวินาทีมีความหมาย ซูเฉิงไม่ต้องการให้ความคิดของเขาถูกครอบงำจากเรื่องส่วนตัวผัวเมีย
ชูหนิงไปชั้นล่างกับชูเฮิง
คนหนึ่งตามมาด้านหน้าโดยตั้งใจ ในขณะที่คนที่อยู่ด้านหลังนั้นบังเอิญ
ฉินหยูโจัวอารมณ์ไม่ดีนัก
เธอคิดมากเรื่องที่ชูเฉิงออกไปไม่บอกกล่าว มีอะไรที่ออฟฟิศหรือเปล่า? เธออยากรู้ขึ้นมา แต่เธอเข้าใจว่าเธอไม่สามารถตรวจสอบเข้าให้เข้มงวดนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ใช่กับผู้ชายแกร่ง
ฉินหยูจู่หมดความอยากในตอนกินอาหารและรู้สึกคลื่นไส้เป็นบางครั้ง
เมื่อเห็นว่าซูหนิงกำลังรับประทานอาหารอย่างแช่มชื่นด้วยท่วงท่าที่สงบและสง่างามของเขา
ในที่สุดเธอก็คลายอารมณ์ลง:”
ลูกไปเยี่ยมคุณปู่บ้างหรือเปล่า”
“ อืมม” ซู่หนิงมองไปที่ฉินหยูโจวเขาเห็นว่าเธอกินไม่ได้มาก:” แม่ควรกินมากกว่านี้คุณต้อง ~ คุณต้องคลอดน้องชายที่แข็งแรง!”
ฉินหยูโจวรู้สึกเบิกบานใจทันทีและยิ้มอย่างสง่างาม
แต่มีความสุข:” เอาล่ะแม่จะเชื่อฟังลูก”
ชูเฮิงนั่งโซฟาด้านข้าง
อ่านหนังสือพิมพ์เขาดื่มนมแล้วออกไป
ฉินหยูโจวมองดูในขณะที่คนรับใช้หยิบจานขึ้นแล้วออกไป
ก็เลิกคิ้วขึ้นใส่ซูหนิง
ทันที:
"สองคนอยู่บนชั้นเดียวกัน เขาทำให้ลูกลำบากใจไหม?"
“เปล่า.”
“ เขาคุยกับลูกบ่อยหรือเปล่า”
“เปล่า”
“ แม่บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าควรพูดคุยกับเขามากขึ้น” ฉินหยูโจวแวบมองเขาอย่าวผิดหวังสุดๆราวกับว่ากินของผิด:
"ลืมมันไปเลย ถึงลูกจะไม่บอกแม่ก็ตาม แม่รู้ว่าเขาไม่อยู่ร่วมกับลูกอย่างสงบง่ายๆหรอก อีกสองวันแม่จะว่าง แม่จะพาลูกออกไปเดินเล่น ตาแก่……คุณปู่ชอบลูกมาก
ๆ ถ้าลูกว่างไปให้ท่านเห็นหน้าสักนิด ถ้าเขาอารมณ์ดีเขาอาจจะลงชื่อลูกในผังตระกูล
"
"ตกลง."
ถ้าไม่ใช่“ เปล่า”
มันก็แค่“ตกลง”
มันน่าเอือมระอา และถ้าพูดกันตรงๆเขาก็ดูเป็นคนทึ่มทื่อ
เขาฟังรู้เรื่องบ้างหรือเปล่าว่าฉันกำลังพูดอะไรอยู่? ฉินหยูโจวปวดหัวขึ้นมานิดๆ
แต่โชคดีที่เขายังมีประโยชน์ ถ้าไม่งั้น เธอคงขี้เกียจเกินจะคุยกับเขาดีๆ หมดความอยากอาหาร
ฉินหยูจัวลุกขึ้นเพื่อกลับไปที่ห้องตัวเอง และสิบนาทีหลังจากนั้นเธอออกมาพร้อมกระเป๋าเงินขับรถสปอร์ตออกไปทำงาน
ก่อนออกไป ชูหนิงกินอาหารเสริมแคลเซียมของเขาหลังอาหาร
จากนั้นออกไปกับรถ
วันนี้มีการสอบทดสอบ
ซูหนิงไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้กับใครในบ้าน และวิ่งออกไปทันทีที่เขาสอบเสร็จ
ในตอนบ่ายเขาเกือบจะสำลักขนมปังที่เขากินในรถบัสระหว่างเมือง
น้าของเขากำลังรออยู่ด้านนอกไซท์ก่อสร้าง
วนไปวนมาและโล่งใจเมื่อเห็นว่าซู่หนิงปลอดภัยและเรียบร้อยดี: "ฉันคิดว่าพี่สามดูแลเธอไม่ดีและเธอกลับมาเพราะเธอทนไม่ไหว
จนฉันกลัวแทบตาย”
แน่นอนว่า ซูหนิง ต้องการที่จะวิ่ง แต่เขายังไม่โตเต็มที่
ไปไหนมาไหนก็ลำบาก:”
น้า ผมอยู่ได้ แต่ผมคิดถึงน้ามาก
เลยแวะมาหา อย่าบอกใครนะ แม่ไม่ชอบให้ผมสนิทกับน้ามากไป”
“ ฉันเข้าใจ ฉันทำเขาขายหน้า”
ดีที่รู้ตัว
แต่ว่าใครทำให้ใครขายหน้านั้นก็ยังไม่แน่นอน น้าเป็นคนซื่อสัตย์และรอบคอบ เขาไม่ใช่คนที่สามารถไปรับไม้รับมือกับคนร้ายลึก
ชูหนิงไม่สนใจว่าเขาเปรอะเปื้อนอยู่และกอดน้าไว้รอบเอว และเขายิ้มอย่างสุขใจบนใบหน้าเล็ก
ๆ ของเขา:” น้าผมดีที่สุด เขาจะรวยด้วยมือของเขาเอง
เขาเก่งที่สุด!”
“นี่ ไม่ใช่มีแต่เธอเหรอที่ชอบน้า กลับไปเร็วๆ
อย่าให้ที่บ้านเป็นห่วง”
“ ป้าใหญ่กับป้ารองมาบ้างไหม” ซู่หนิงแวะมาแต่ก็ไม่ใช่มาโดยไม่มีเรื่อง เขากลัวว่าพี่สาวสองคนของน้าเขาจะจ้องจับตาดูเขา!
ในชาติก่อน ผู้หญิงสองคนนี้เป็นเหมือนสัตว์กระหายเลือดสูบเลือดสูบเนื้อน้องชายเขาจนแห้ง
และรีดผลประโยชน์ทั้งหมดที่พวกเขาเอาได้จากเขา แม้แต่กระดูกก็จะไม่ทิ้ง
ชูหนิงจดจำสิ่งนี้ได้จากชีวิตในอดีตของเขา หลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยสนใจ ฉินหยูฟูมีจุดจบน่าสังเวช
เพื่อจ่ายค่าเล่าเรียนให้กับบุตรของพี่สาวทั้งสองของเขา เขาทำงานเพิ่มอีกหลายชั่วโมงซ้ำแล้วซ้ำอีก
อยู่มาวันหนึ่งเขาไปทำงานอย่างอ่อนล้า เขาตกจากชั้นที่สิบแปดและก็ด้วยสภาพเช่นนั้นเขาก็จากไป
ฉินหยูฟูไม่ใช่คนชอบโกหก
เขาจ้อง แล้วเลียริมฝีปากเขา เพียงแค่ส่ายหัว
หัวหน้าคนงานเดินหาวออกมา
มีบุหรี่ห้อยติดปากของเขา:”
ไอโย, เด็กเหลือขอตัวน้อยกลับมาแล้ว!
ชีวิตในเมืองเป็นอย่างไร เธอแต่งชุดหล่อนี่ เธอต้องมีความสุขมากใช่มั้ย”
ฉันโดยวางหมากในความขัดแข้งและโดนวางยา
ฉันมีความสุขมากจริงๆ
ชูหนิงทักทายตามมารยาทเล็กน้อย
ก่อนถามหัวหน้างานโดยตรง เพราะหัวหน้าคนงานจัดการงานของน้าเขา เขาต้องรู้สักเรื่องสองเรื่อง
ทันทีที่เขาพูดถึงพี่สาวคู่นั้น หัวหน้าก็ฉุนขึ้น เขาขมวดคิ้วทันทีและพูดถึงพวกเขาพร้อมขากถุยน้ำลายเขาให้ว่อน
ชูหนิงประหลาดใจที่ได้ยินมัน พวกเขาร้ายกาจเกินไปถึงกับมาคุกเข่ากันจริง ๆ !
เงิน! เรื่องใหญ่สุดๆ
มันทำให้คนตาบอด
เพื่อเงิน พวกเขาเลวร้ายได้ยิ่งกว่าสัตว์
แรกเลยพวกเขาร้องไห้ จากนั้นพวกเขาก็ทำเอะอะ จากนั้นพวกเขาก็แขวนคอตัวเอง นี่มันเกินจริงเกินไป
พวกเขาทำตามใจอยากโดยไม่ยั้งคิดเลย ทั้งสองผลัดกันและพาลูก ๆ มา! เขารู้สึกสมเพทพวกเขา
แต่ใครคือคนที่น่าสมเพทกันแน่ น่าเสียดายที่มันใช้การไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเปลี่ยนกลยุทธ์
พวกเขายืนอยู่ที่ปากทางเข้าไซท์ก่อสร้างและพุ่งไปหาน้องชายของเขาสาดน้ำสกปรกใส่เขาตะโกนว่าเขาเป็นคนอกตัญญู
ดุด่าเขาอย่างรุนแรง หากมีผีสางสิงอยู่ในดินคงโดนไล่ผีกระเจิงอย่างแน่นอน
แม้แต่คนที่ไม่รู้จักฉินหยูฟู ยังฟังแล้วเห็นจริงเห็นจังกับพวกเขา
คืนหนึ่ง พี่สาวทั้งสองก็พาลูก
ๆ ไปร้องไห้ข้างนอกหอพักของเขาบ่นไม่หยุดหย่อน หัวหน้าคนงานเห็นสีหน้าของฉินหยูฟูเศร้าลงและใจเขาก็ดูเหมือนจะเห็นใจ
เขาโทรหาเพื่อนร่วมงานหลายคนทันทีเพื่อไล่คนไร้ยางอายเหล่านี้ออกไป
ชูหนิงฟังอย่างตั้งใจ แล้วโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น
เป็นพี่ใหญ่! นี่มันไม่มีเหตุผล ตายแน่ ฉันตายแน่ๆ แป๊บเดียวเขาก็เหงื่อออกเย็นเจี๊ยบ!