Saturday, October 5, 2019

องค์หญิงเว่ยหยาง บทที่ 14: มารดาเลี้ยงหลั่งโลหิต

องค์หญิงเว่ยหยาง

บทที่ 14: มารดาเลี้ยงหลั่งโลหิต


ต้าฟู่เหรินรั้งความสงบราบเรียบของนางคืนมาและดุด่าหลินมามาอย่างเย็นเยียบ“ ข้ามอบหมายงานให้เจ้าเป็นการเฉพาะเพราะคนอื่นจะทำให้ข้าเป็นกังวล ข้าบอกเจ้าหลายครั้งแล้วว่าให้นำเสื้อผ้าใหม่มาให้นางโดยเร็ว ไยเจ้าถึงทำไม่ได้? เว่ยหยางเป็นคุณหนูสาม หลี่เจี๋ยของพวกเรา บุตรีของมหาเสนาบดีนี้นางจะทนความเชื่องช้าของเจ้าได้อย่างไร? ไร้เหตุผลสิ้นดีที่ซานเซียวเจี่ยสวมเสื้อผ้าเก่า ๆ ออกมาข้างนอก หรือเพราะพวกเจ้าต้องการสร้างเรื่องเข้าใจผิดระหว่างเราแม่ลูก? ให้คนอื่นเห็นว่าข้าไม่ดีต่อซานเซียวเจี้ย?”

ฟังคำพูดของต้าฟูเหรินหลี่เว่ยหยางยังคงแสดงท่วงทีนับถือ แต่หัวเราะเยือกเย็นอยู่ข้างใน ต้าฟูเหรินเป็นต้าฟูเหรินย่อมมีเหตุผล นางไม่หายใจทิ้งเปล่าไปอ้อมค้อม ทุกคำที่นางพูดนั้นตรงจุด เว่ยหยางสามารถอธิบายเหตุผลแบบเดียวกันได้ แต่ถ้านางทำไปแล้วต้าฟูเหริน ก็จะเสียหน้าไม่เหลือดี ในทางตรงกันข้ามเมื่อต้าฟูเหรินพูดคำเหล่านี้นางได้ผลักดันความผิดไปให้หลินมามา

หลินมามาตอบรับได้รวดเร็วนักโดยพลันนางคุกเข่าลงกับพื้นและยอมรับความผิดพลาดของนางพลางสะอื้น หลินมามาว่าล้วนเป็นความผิดของนาง เป็นความรับผิดชอบและไร้ความสามารถของนางที่กลายเป็นเรื่องนี้ขึ้นมา แม้ว่าต้าฟูเหรินได้มอบหมายงานให้นางด้วยวาจาหากหลินมามารู้ว่าไม่ใช่ความตั้งใจที่แท้จริงของต้าฟูเหรินที่จะตัดเสื้อผ้าใหม่สำหรับเว่ยหยาง มันเป็นเพราะเหตุที่เกิดขึ้นกับหลี่จางเล่อที่ทำให้ต้าฟูเหรินเสียอารมณ์ ซึ่งเป็นเหตุว่าทำไมสองวันที่ผ่านมา ต้าฟูเหรินที่แท้แล้วรอเว่ยหยางเข้าหาเพื่อวอนให้นางอภัยให้ แต่ใครจะรู้เล่าว่าเว่ยหยางจะเสาะหาตรงไปทางเหล่าฟู่เหรินแทน?

ซานเซียวเจี่ยดูอ่อนแอและบอบบาง แต่จริงๆแล้วนางฉลาดมาก หากนางโง่กว่านี้ไปอีกนางก็จะไปหาต้าฟูเหริน  และขอความยุติธรรมและเสียหน้านางในกระบวนการนั่น อย่างไรก็ตามนางต้องรอจงใจจังหวะที่เหล่าฟู่เหรินและเหวินชื่อรั้งอยู่ทั้งคู่ แล้วชงเรื่องขึ้นมา เอาต้าฟูเหรินยัดเข้าจุดวิบาก ต้าฟูเหรินทำอะไรไม่ได้ ได้แต่กล้ำกลืนโทสะของนางลง


“ ยังไม่ได้ขอโทษซานเซียวเจี๋ย!” หลี่จางเลอตวาดแหว

ด้วยความงามล้ำของจางเล่อแม้กระทั่งวิธีที่นางพูดก็เต็มไปด้วยความสง่างามและสูงส่ง แต่เมื่อแว่วเข้าหูของเว่ยหยางด้วยเหตุผลบางอย่างแล้วสิ่งที่นางได้ยินก็คือน้ำคำของคนตีสองหน้า เว่ยหยางจนท่วมท้นด้วยความรังเกียจและความแค้น เว่ยหยางไม่เหมือนหลี่ชางซีและคนอื่น ๆ ที่กระหายความโปรดปรานของต้าฟูเหรินด้วยการคำป้อยอสรรเสริญ เพื่อที่วันหน้า พวกนางจะมั่นใจว่าจะได้แต่งงานดีๆ เว่ยหยางรู้ว่าต้าฟูเหรินนั้นยิ่งกว่าตั้งใจที่จะใช้พวกเขาเป็นหินรองเท้าให้อนาคตของหลี่เจิงเล่อ

ยังแสดงต่ออีก หลินมามาคุกเข่าต่อหน้าเว่ยหยางเพื่อขออภัย “ ซานเซียวเจี๋ย ล้วนข้าที่ผิด หนูปี้จะบอกให้พวกเขานำเสื้อผ้าใหม่มาให้ท่านเดี๋ยวนี้ ข้ายืนยันว่าท่านจะต้องชอบพวกนี้ด้วยแน่”

ดูประหวั่นพรั่นพรึงและลนลาน เว่ยหยางพลันถดถอยและมองไปที่ต้าฟู่เหริน “ ท่านแม่..นี่..นี่ จริง ๆ . .” นางพูดช้า ๆ เป็นพิเศษตะกุกตะกักราวกับว่านางร้องขอความเมตตาเพราะเห็นแก่หลินมามา

ต้าฟูเหรินตอบนิ่ม ๆ “ เว่ยหยางเจ้าไม่ต้องกังวล ปล่อยทุกอย่างให้ข้าดูแล หากเบื้องหน้าเจ้ารู้สึกไม่ยุติธรรม ข้าจะช่วยเจ้าสอนบทเรียนให้บ่าวที่ไร้ความรับผิดชอบเหล่านี้!”

เว่ยหยางโค้งคำนับอย่างรู้คุณ“ ขอบคุณท่านแม่ ทุกอย่างให้แล้วแต่ท่านแม่ก็แล้วกัน" อย่างไรก็เถอะ ด้วยเรื่องวันนี้แล้วนางแจ้งชัดแล้วว่า อย่างน้อยมองในแง่ดี จะไม่มีใครหยามนางได้โดยง่าย

เมิ่งซื่อมองเว่ยหยางครู่หนึ่งแล้วกวักมือหานางว่า “ มานี่ เด็กน้อย” เว่ยหยางเดินไปขณะที่เมิ่งซื่อโบกมือให้หลัวมามา ยิ้มแย้มว่า“ เป็นเดือนแล้วที่เจ้ามาที่นี่ ข้ามีของขวัญสำหรับเจ้า."

หลัวมาม่าเข้าใจได้ทันทีจึงเห็นนางกลับมาหลังจากนั้นสักครู่พร้อมกล่องแกะสลักใบน้อย ภายในกล่องนั้นเต็มไปด้วยเครื่องเพชรทอง หลี่ชางซีเหลือบมองดูและสังเกตเห็นเข็มกลัดราคาแพงแล้วยังงามหรูเป็นลายดอกไห่ถัง ที่นางกำลังร้องขอจากเมิ่งซื่อมานาน ก็อยู่ในกล่องนั้นด้วย กล่องนั้นแกะไว้ปราณีต และ ดอกไห่ถังนั้นแพรวพราวใสแจ๋วสดใส ดูล้ำค่านัก นางเสียเวลาไปไม่รู้เท่าไหร่ผู้เฒ่าก็เฉยชา แต่จนถึงวันนี้เหล่าฟู่เหรินได้มอบให้กับเว่ยหยาง! ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความชิงชัง แทบว่าอยากเห็นนางหลั่งโลหิตนัก

หลี่เว่ยหยางก็ประหลาดใจเช่นกัน นางไม่เคยคาดฝันว่าเหล่าฟู่เหรินจะมอบของขวัญให้กับนาง ความรู้สึกอบอุ่นไหลผ่านร่างกายของนาง เห็นได้ชัดว่านี่เป็นวิธีของเมิ่งซื่อที่บอกทุกคนว่านางมีเว่ยหยางอยู่ในใจ

เว่ยหยางเต็มไปด้วยความกตัญญูซาบซึ้งต่อเหล่าฟู่เหริน การกระทำของเหล่าฟู่เหรินไม่เพียงไม่ตำหนิ แต่ยังเต็มใจที่จะสนับสนุนนาง นางไม่ได้พูดอะไรมากอีกขณะที่นางคุกเข่าลงหมอบและกล่าวต่อเหล่าฟู่เหริน “ ขอบคุณเหล่าฟู่เหริน ความเมตตาของท่านนั้นผู้หลานย่อมจดจำไว้ในใจ”

ด้วยถ้อยคำนั้นเมิ่งซื่อรู้ว่าเว่ยหยางเข้าใจความตั้งใจของนาง อดไม่ได้ต้องแย้มยิ้มออกมา

สีหน้าของต้าฟูเหรินขึงตึงนิ่งไป

เหวินซื่อเห็นแล้วหัวเราะอยู่ในใจนาง อะไรก็ตามที่ทำให้ต้าฟูเหรินขุ่นใจและทุเรศทุรังย่อมทำให้นางมีความสุข เป็นผลให้นางเอื้อมมือขึ้นและดึงปิ่นผมของนางออกโดยเร็วพลัน ปิ่นหงส์ทองแท้ก็ถูกยัดวางไว้ในมือของ เว่ยหยาง“ มา เห็นเจ้าเป็นเด็กดีนี่ถือเอาไว้”

เว่ยหยางกระอักกระอ่วนที่จะรับเข็มกลัดและสายตามองไปทางต้าฟูเหริน นางสังเกตเห็นว่าใบหน้าของต้าฟูเหรินนั้นเปี่ยมโทสะอยู่  หากมิใช่ต่อนางแต่จ้องมองที่เหวินชื่อแทน เหวินชื่อมิได้ใส่ใจต้าฟูเหริน และหัวเราะดังๆอย่างมีความสุข

หลี่จางเลอรีบหวนคืนท่าทางสุขุมของนางโดยเร็วและไออย่างเบา ๆ ต้าฟูเหรินรับรู้ตอบกลับทันทีโดยหันไปหา เว่ยหยางและทำตัวราวกับว่าไร้เรื่องราว ด้วยเสียงที่อ่อนโยนนางเอ่ยว่า“ ลูกที่รักมานี่สิ! ข้าได้เตรียมของขวัญให้กับเจ้าล่วงหน้า ข้าก็จะให้เจ้าในตอนนี้ด้วย” ต้าฟูเหรินได้มอบของตกแต่งที่มีราคาแพงแต่ดูไร้ประโยชน์จริงๆ อย่างไรก็ตามเห็นของขวัญเหล่าฟู่เหริน และเหวินชื่อได้ให้ นางต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อให้ทัดเทียมกัน ด้วยสายตาทุกคนจับจ้องนาง ต้าฟูเหรินได้แต่ถอดสร้อยข้อมือหยกขาวของนาง แล้วสวมสร้อยข้อมือบนข้อมือของเว่ยหยางด้วยความเจ็บใจ นางก็“ นี่ของล้ำค่าจากวังเก่า ดีนักรับไว้."

ครั้งหนึ่งนางเคยเป็นจักรพรรดินี นางรู้ว่าเจียงชื่อพูดจริงเกี่ยวกับที่มาของสร้อยข้อมือนี้ นางยิ้มแล้วพูดว่า“ ขอบคุณท่านแม่”

ต้าฟูเหรินหน้าบึ้งนิด ๆ ด้วยความโกรธที่ข่มไว้ อย่างไรก็ตามนางยังคงรักษารอยยิ้ม “ เด็กโง่ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ!”

หลี่ฉางซีรู้สึกริษยาเป็นล้นพ้นยามเย้ยหยัน“ เว่ยหยางรวยแล้วสิ! ท่านแม่ว่าจะเก็บสร้อยข้อมือนั้นให้ต้าเจีย แต่นางมอบให้เจ้าแทน!”

เมื่อได้ยินแล้วหลี่เว่ยหยางก็มีท่าทางที่จะถอดสร้อยข้อมือออก “ ถ้าเป็นเช่นนั้น เว่ยหยางไม่อาจรับไว้ได้!”

ต้าฟูเหรินไม่ปล่อยให้เว่ยหยางคืนของขวัญเพราะนางจ้องมองอย่างน่ากลัวที่ชางซีก่อนจะกลับไปที่เว่ยหยางด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น ตีมือเว่ยหยาง“ เด็กโง่เจ้ายังเป็นดั่งดวงใจของแม่ นี่เจ้าเป็นอะไรไปแล้ว วางลงเลย อย่างนั้นเราก็เป็นพวกตระกูลเล็กแล้ว!”

หลี่เว่ยหยางเห็นปากนางดูผิดหวัง นางในใจย่อมมีความสุขมาก ปากกล่าวว่า “ นี่ข้าต้องขอบคุณท่านแม่แล้ว!”

ดวงตาของหลี่ชางซีเพ่งด้วยความชิงชัง หลี่จางเลอเหลือบสายตานางเบาๆไปที่กระถางธูปสีเงินฝังลวดลายดอกบัวและอัญมณี ในใจมืดครึ้ม พี่สาวน้องสาวทั้งห้า สุดท้ายก็เป็นผู้หญิง ท่านแม่เลี้ยงมาเนิ่นนานก็ไม่เข้าข้าง กำไลคู่นี่แปลว่าอะไรกัน วันนี้เหล่าฟู่เหรินได้แสดงให้เห็นว่านางอยู่ข้างเว่ยหยาง ดังนั้นต้าฟูเหรินจะลงมืออะไรกับนางนั่นได้ล่ะ มิใช่ว่านี่เปิดโอกาสให้บ้านรองเยาะเย้ยพวกเขา

ในขณะที่เว่ยหยางกำลังจะออกไป หลัวมามาก็ตามนางไปตามทางเดิน แย้มยิ้มกล่าว “ ซานเซียวเจี๋ย! เหล่าฟู่เหรินเชิญว่าท่านแต่นี้สามารถเข้ามาหาและชงชาเพื่อเหล่าฟู่เหรินได้ทุกวัน ท่านว่างหรือไม่”

หลี่เว่ยหยางตอบทันทีว่า“ หลัวมามา เจ้าจะว่าอย่างนั้นได้อย่างไร? กตัญญูต่อเหล่าฟู่เหรินเป็นสิ่งที่ลูกหลานต้องทำ”

อุปนิสัยดีงามของนางทำให้หลัวมามายิ้มน้อยๆ เว่ยหยางไม่ได้เกาะเหล่าฟูเหรินเพื่อไต่เต้า นับว่ามีเหตุผล

เมื่อหลี่เว่ยหยางกลับไปถึงเรือนนางแล้วเปิดกล่องเหล่าฟู่เหรินมอบให้กับนาง ตอนนั้นเองที่นางค้นพบช่องซ่อนเร้นด้านล่างในกล่อง นางถอดผ้าไหมสีแดงที่ปิดบังซ่อนอยู่นางเห็นเงาสีโลหะเงินของดอกไม้สิบดอก

จื่อเยียนอุทานเบาๆ แล้วพูดไม่ออก

มือของหลี่เว่ยหยางค้างตึง รางวัลข้าวของที่นางได้รับนั้นไม่สามารถนำไปใช้ได้จริง ของขวัญเหล่านั้นขายไม่ได้และเอาไปให้ต่อก็ไม่ได้ มีเพียงโลหะเงินที่สำคัญที่สุด ทุกอย่างอื่นก็ไร้ประโยชน์ในยามที่ต้องการ เหล่าฟู่เหรินรู้ว่าวันนี้นางเล่นงิ้วให้ชม แต่กระนั้นนางก็ยังเงีบบเชียบอยู่ ให้เงินกับเหวยหยาง ทำไม?

องค์หญิงเว่ยหยาง บทที่ 13: ยืมมือผู้อื่นเอาคืน



องค์หญิงเว่ยหยาง



บทที่ 13: ยืมมือผู้อื่นเอาคืน



หลี่เว่ยหยางมั่นใจเต็มที่ว่าเมื่อเหล่าฟูเหรินดื่มชาของนางแล้ว นางจะดื่มชาที่คนอื่นชงไม่ลงอีกเลย เพราะที่แท้แล้วตั้วปาเจิ้นนับเป็นคอชา อีกทั้งอยากทำให้เขามีความสุขนางจึงค้นหามือฉมังด้านชาที่เลื่องชื่อ และได้รับการสอนสั่ง หลังจากแปดปีผ่านนางมั่นใจมากพอที่จะเอ่ยอ้างว่าฝีมือชงชาของนางนั้นยอดเยี่ยม และหาผู้ใดเกินหน้าได้ไม่


นางไม่กริ่งเกรงที่ต้าฟูเหรินจะสอบสวนเรื่องราวนี้ เซียวเจี๋ย(คุณหนู)ทั้งหมดของตระกูลหลี่ในผิงเฉิงรู้วิธีชงชา นางอยู่ที่ผิงเฉิงมาระยะหนึ่งแล้วจึงมีเหตุผลที่ฝีมือชงชาของนางดีขึ้นเช่นกัน


โดยรวมแล้วเมิ่งซื่อพอใจกับชามาก นางมองเว่ยหยางพร้อมรอยยิ้มของนางอบอุ่นขึ้นมาก “ วิธีที่เจ้าชงชานั้นไม่เหมือนคนอื่นเลย เจ้าเรียนรู้ทักษะการชงชาที่ไหน?”


ในช่วงชีวิตก่อนหน้านี้เพราะนางเป็นบุตรีของอนุที่เกิดในเดือนสอง นางมักจะระมัดระวังมารยาทและคำพูดของนางเสมอ ในทุกยามนางนั่งเงียบ ๆ อยู่ในมุมหนึ่งและไม่เคยพูดคุยกับเหล่าฟูเหรินอย่างสนิทสนม อย่างไรก็ตามนางไม่เป็นอย่างนั้นอีกแล้ว


นางตอบว่า“ เหล่าฟูเหริน ตอนที่ข้าอยู่ที่ผิงเฉิงพวกเขาเชิญซานเนียงของดงเจี่ยมาสอนเหล่าคุณหนูว่าจะชงชาอย่างไร ข้าได้เข้าร่วมและผลสุดท้ายก็เรียนรู้ทักษะเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เกรงว่าข้ายังด้อยฝีมือนัก”


ท่าทีต้าฟูเหรินนับว่าแย่แล้ว แม้แต่หลี่จางเลอก็คิ้วขมวด เรียนรู้ทักษะเพียงเล็กน้อย แต่ยังสามารถชงชาได้เพียงนี้? หากนางได้รับการมุ่งมั่นอย่างจริงจังตั้งแต่ต้นแล้วก็ไม่ได้หมายความว่า . .


ซานเหนียงของตงเจียเป็นนักชงชามือฉมังเลื่องชื่อและเป็นที่คารวะอย่างสูง น่าเสียดายที่นางมีปัญหาในการเคลื่อนไหวเดินเหินดังนั้นนางจึงไม่เคยออกจากผิงเฉิง หลี่จางเลอเคยคิดที่จะชวนนางไปที่จวน แต่น่าเศร้าที่ไม่มีโชค ได้ยินคำกล่าวจากเว่ยหยางสำหรับผู้ซึ่งทะนงตนเยี่ยงหลี่จางเลอ กลับคล้ายการประกาศศึก


หลี่เว่ยหยางสังเกตท่าทีของทั้งแม่ลูก แต่ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าของนาง นางเอ่ยเรียบๆว่า“ เหล่าฟูเหรินข้าจะขอยืมชาสักครู่ได้ไหม”


เมิ่งซื่อพยักหน้าเล็กน้อย


หลี่เว่ยหยางก้าวไปข้างหน้าหยิบถ้วยชาข้างๆ เมิ่งซื่อแล้วค่อย ๆ หมุนไปรอบ ๆ หลังจากนั้นนางก็วางลง เมื่อเหล่าฟูเหรินก้มดูและสังเกตเห็นดอกโบตั๋นปรากฏอยู่ในจอกชา ไอน้ำพวยพุ่งจากจอกยิ่งสร้างบรรยากาศล่อลวงขึ้น


ที่นั่งอยู่บนด้านข้างคือสะใภ้เหวินซื่อ อดอยากรู้อยากเห็นและกระเถิบใกล้ไปดู ขณะที่นางมองเข้าไปในจอกนางรู้สึกประหลาดใจ “ ข้าไม่เคยรู้เลยว่าจะสร้างดอกไม้แบบนั้นได้! ทักษะของเจ้ายอดเยี่ยมจริงๆ!”


ท่าทีหลี่จางเลอแปรเปลี่ยน พลันนางก็ยืนขึ้นแล้วเดินไป เมื่อเห็นดอกโบตั๋นนางก็อึ้งไปทันที


หลี่เว่ยหยางตอบอย่างถ่อมตนว่า“ นับเป็นเคล็ดลับง่าย ๆ แต่อย่างน้อยมันก็นำรอยยิ้มแต่งแต้มสีหน้าของเหล่าฟูเหริน ซานเหนียงของดงเจี่ยสามารถสร้างภูเขาและแม่น้ำจากใบชา ตอนนี้ฝีมือเยี่ยงนั้นย่อมทำให้ผู้คนไร้วาจาจากเสียงปรบมือเกรียวกราวแล้ว”


เคล็ดลับง่าย ๆ ? หาใช่สักคนในเมืองหลวงที่สามารถทำเช่นนี้ได้


เมิ่งซื่อจับจ้องจอกชาดอกโบตั๋นค่อยๆสลายไปในขณะที่นางถอนหายใจเล็กน้อย


ในขณะเดียวกันดวงตาของเหวินซื่อหรี่ลงและนางถามว่า“ คุณหนูสามแขนเสื้อของเจ้าเป็นอะไร”


เมื่อแขนของเว่ยหยางหย่อนอยู่ข้าง ๆ ก็สังเกตเห็นได้ไม่ชัด แต่เมื่อนางยกแขนของนางแขนเสื้อก็ถูกยกขึ้นโดยบังเอิญเช่นกัน เผยให้เห็นแขนเสื้อที่ไม่ตรงกันด้านใน หลี่เว่ยหยางรอคำถามนี้มาตลอด นางรีบลดแขนและเอ่ยด้วยความอับอายว่า“ ไม่มีอะไร”


“ อันใดที่ว่าไม่มีอะไร?  เห็นชัดๆอยู่ว่าแขนเสื้อตัวในของเจ้าจะสั้นมาก!” บุตรีเหวินซื่อ หลี่ชางหรูจงใจเปล่งเสียงออกมาอย่างตระหนก ประหนึ่งนางเจอความลับที่ยิ่งใหญ่


ทันทีที่นางได้ยินคำพูดนั้น ต้าฟูเหรินจ้องตรึงที่หลี่เว่ยหยาง  สายตาของนางคมกริบราวกับดาบเตรียมสังหาร นางยิ้มและพูดช้าๆว่า“ เว่ยหยาง นี่มันเรื่องอะไร” แม้จะพยายามซ่อนความรู้สึกของนางให้ดีที่สุดน้ำเสียงของนางก็ยังคงเหี้ยมเกรียม จนทุกคนในที่นั้นรับรู้ได้


หลี่ชางหรูกระพริบตาอย่างตื่นเต้นและพูดว่า“ ต้าไบมาเจ้าไม่เห็นเหรอ? เสื้อผ้าของเว่ยหยางขนาดไม่พอดีตัว! ไอ้หยา น่าสมเพช นางไม่มีอะไรเลยแม้เรื่องจ้อยอย่างเสื้อผ้าพอดีๆ”


หลี่เว่ยหยางหลุบตาลงมองพื้น นางดูลนลานและอยู่ไม่เป็นสุข แต่ข้างในนางกำลังหัวเราะ ต้าฟู่เหรินให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และศักดิ์ศรีของนางเป็นอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางอยู่ต่อหน้าเหล่าฟูเหรินและสะใภ้คนอื่น ๆ อย่างไรก็ตามเนื่องจาก ต้า ฟูเหรินจงใจละเลยที่จะจัดหาเสื้อผ้าและสิ่งจำเป็นให้กับนางอย่างเหมาะสม ทำไมเว่ยหยางจะช่วยรักษาหน้าของนางเล่า? ต่อให้ต้าฟูเหรินจะเคืองเว่ยหยางมากขึ้นอีก แต่ชื่อเสียงของนางก็จะมัวหมองทันทีที่ทุกคนรู้ว่านางกดขี่บุตรีของอนุ ชื่อเสียงของเสนาบดีก็น่าจะเป็นเรื่องเสียแล้ว เช่นนี้เองเหล่าฟูเหรินย่อมสอดมือเข้ามาอย่างแน่นอน


เหวินซื่อหัวเราะลั่นและกล่าวว่า“ ต้าเสา คงเป็นว่าเจ้ายังหาช่างเสื้อพื้นๆสักคนให้ตัดเสื้อผ้าเว่ยหยางไม่ได้กระมัง? นางกลับมาได้เดือนหนึ่งแล้ว”


เมิ่งซื่อมองดูต้าฟูเหรินอย่างเหลืออด แม้ว่าต้าฟูเหรินเป็นคนดุ ใบหน้าของนางก็ยังเปลี่ยนเป็นสีแดงในขณะนี้


หลี่จางเลอปกป้องอย่างรวดเร็ว“ ท่านแม่ว่าไว้ก่อนหน้านี้ว่านางจะมีชุดใหม่สี่ชุดให้เว่ยหยาง ทำไมถึงยังมาไม่ถึง นี่ย่อมเป็นคนรับใช้ที่ไร้ความรับผิดชอบ!” จางเล่อพุ่งสายตาของนางไปยังเว่ยหยาง แม้ว่านางจะตำหนินางก็ยังมีน้ำเสียงเจือความสงสารขณะที่นางจ้องที่ เว่ยหยางราวกับว่านางกำลังจ้องมองน้องสาวน้อยๆที่นางรักใคร่สุดแสน “ น้องสามเจ้าควรจะมาบอกกับข้าสักหน่อย แทนที่จะใส่ชุดดังกล่าวออกข้างนอก มิใช่มันทำให้ท่านแม่ขายหน้าไปด้วยเหรอ?”


ปากของเว่ยหยางหยักเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ โดยมิหวั่นแม้สักน้อย “ ที่ต้าเจียกล่าวนั้นชอบแล้ว แต่เราใส่คนละขนาดกันไม่อย่างนั้นข้าคงจะรบกวนเจ้าอยู่แล้ว”


แม้จะเป็นบุตรีของอนุนางก็ยังคงเป็นบุตรีของเสนาบดี เป็นไปได้หรือที่จะให้บุตรีของเสนาบดีใช้ของส่งต่อ? หลี่เว่ยหยางรู้แน่นอนว่าหลี่จางเล่อไม่ได้ตั้งใจที่จะให้เสื้อผ้าที่ใช้แล้ว แต่นางจงใจระมัดระวังเลือกใช้คำพูดและพร้อมเจตนาเปี่ยมความหมายเพื่อที่จะทำให้จางเล่อพูดไม่ออก


ดังคาด จางเล่อกล้ำกลืนการตอบโต้ของนางลงเพราะความโกรธเดือดพล่านอยู่ข้างใน ดรุณีไหนๆล้วนเชื่อฟังและนอบน้อมต่อนางเสมอ และหลี่เว่ยหยางก็ไม่ใช่หนึ่งในนั้น หลี่เว่ยหยางบ้าไปแล้ว!


ต้าฟูเหรินไม่มีท่าทีโกรธใด ๆ แม้หากว่านางจะโกรธนางก็จะไม่แสดงให้เห็นบนใบหน้าหรือเปล่งเสียงดัง  ทำเช่นนั้นจะทำลายภาพลักษณ์ที่สง่างามและมีเมตตาของนาง แต่วันนี้หลี่เว่ยหยางตบหน้านางโดยปรากฏตัวข้างนอกด้วยเครื่องแต่งกายไม่เหมาะสม


ห้องนั้นเงียบกริบ  เงียบจนแต่ละคนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น


เรียกหาศัตรูออกจากต้าฟุเหรินไม่ใช่เรื่องดี แต่แล้วไงเล่า ก่อนหน้านี้นางเคยเชื่อฟังและยอมกรานให้ แต่ก็ยังลงเอยไปตกในเงื้อมมือผู้อื่นในกระดานหมาก ครานี้นางต้องการที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของนาง ขณะนี้นางกำลังพนันในความปรารถนาของเหล่าฟูเหรินที่จะปกป้องชื่อเสียงของตระกูลหลี่


จื่อเยียน ผู้ติดตามเว่ยหยางงองุ้มมือของนางเป็นกำปั้นเกร็งในแขนเสื้อของนางเมื่อร่างนางสั่นสะท้าน กลับกันเว่ยหยางยังคงแย้มยิ้มอย่างต่อเนื่องบนใบหน้าของนาง ไม่มีกระผีกริ้นจะกลัวหรือการยอมก้มกรานในแววตาของนาง


เมิ่งซื่อมองที่ต้าฟูเหรินและกล่าวเรียบเรื่อย“ นับว่าเจ้าละเลย”


ปรกติแล้วเหล่าฟูเหรินไม่สนใจเรื่องในจวนของเหล่าฟูเหรินและไม่เคยตำหนิต้าฟูเหริน อย่างไรก็ตามด้วยประโยคนี้เพียงประโยคเดียวก็แสดงให้เห็นว่าเหล่าฟูเหรินกำลังเข้าข้างเว่ยหยางในเรื่องนี้ ความโกรธแล่นไปทั่วร่างต้าฟูเหรินพร้อมใบหน้าของนางแดงยิ่งขึ้น ลมหายใจของนางขัดและนางก็ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ตอนนี้นางโกรธเกรี้ยวอย่างแท้จริง - โทสะแรงกล้าถึงขั้นว่านางไม่อาจรักษาสีหน้าได้อีกแล้ว


แม้จะเป็นแม่เรือน แต่สามีของนางเป็นเสนาบดีและให้ความสำคัญกับความเคารพและกฎเกณฑ์ของตระกูลมาก ด้วยเหตุผลอย่างนั้นเหล่าฟูเหรินจะต้องไม่โกรธหรือดูหมิ่น มิพักจะกล่าวถึง เหวินซื่อมักจะมองนางด้วยตาเหยี่ยวคู่หนึ่งพร้อมจ้องจับผิดนางได้ตลอดเวลา นางทำอะไรไม่ได้นอกจากฝืนทนและยืนหยัดกับมัน นางต้องรักษาภาพลักษณ์ของนางในฐานะภรรยาและมารดาของเสนาบดีที่เปี่ยมเมตตา สง่างาม เที่ยงธรรมให้กับบุตรีของอนุทุกคน


หลี่เว่ยหยางเป็นเพียงบุตรีของอนุ ถ้านางจะให้บทเรียนกับดรุณีเหล่านี้ สิ่งแรกที่นางต้องทำคือทำใจให้สงบและไม่ทำอะไรหุนหันและไม่ประมาท ในเบื้องหน้ายังมีโอกาสอีกมากมายที่หลี่เว่ยหยางจะเข้าทางนาง


ดังนั้นแม้ว่านางจะโกรธเกรี้ยว ต้าฟูเหรินก็หันไปหาหลินมามาอย่างเครียดขึ้งและกล่าวลั่นว่า“ คุกเข่าลง!”


หลินมามาตะลึงด้วยความประหลาดใจ ทุกคนในห้องต่างแปลกใจ

องค์หญิงเว่ยหยาง บทที่ 1-12 จากเด็กดี



องค์หญิงเว่ยหยาง แปลไทย







ธิดาอนุเปรียบดั่งยาพิษ



https://writer.dek-d.com/Suiji/story/view.php?id=1439214


Back to the Apocalypse [BL] Ch-16






นั่งอยู่บนรถไป๋จิงก็เงียบไปตลอดทาง เฉาเหลยแวบมองไปข้างหลังเป็นครั้งคราว ในใจยิ่งมั่นใจมากขึ้น นายน้อยของพวกเขาอกหัก ริมฝีปากเขาหยักขึ้นน้อยๆและเผยรอยยิ้มที่ยั้งไม่อยู่ อารมณ์ที่บูดอยู่ตลอดนั้นดีขึ้น คิดอย่างระแวดระวัง คุณเองก็มีวันแบบนี้ได้เหมือนกัน!

ไป๋จิ่งหน้าตึงมองออกไปนอกหน้าต่าง เมื่อเขาตัดสินใจแล้วก็จะไม่เปลี่ยนใจ เป็นไปไม่ได้ที่จะพูดว่าภายในใจไม่เสียใจ เขาคิดถึงเขาคนนั้นมากจริงๆ และใจเขาก็รวดร้าว ไม่มีใครรู้ว่าตอนเขาอยู่ในเมือง n นั้นทั้งวิตกกังวลและคาดหวัง  แม้ว่าในใจเขาจะไม่สบายใจหากทว่าก็ยังรู้สึกว่ามันช่างแสนหวาน แล้วมาตอนนี้ต้องจากไปอย่างกะทันหัน แม้ว่าเขาเองเป็นคนเลือกทางนี้ แต่ทั้งร่างเหมือนกลวงว่างเปล่าไปหมดแล้ว

กระนั้นก็ตาม เขาไม่ได้ทราบเลยว่าหลังเขาจากไปเพียงไม่นาน เซียวส้ากับพวกก็พากันมาขอพบเขา เซียวส้าไม่ได้คิดไว่ก่อนว่าไป๋จิ่งจะจากลาไปเร็วอย่างนี้ แต่บางครั้งก็มีบางเรื่องที่มันพลั้งพลาดไปอย่างคาดไม่ถึง




“ ทำไมไม่มีใครเตือนฉันเลย” เซียวส้าถามด้วยเสียงที่ลึก รู้สึกขัดหูขัดตาขึ้นมา เขาก็นึกถึงหนุ่มน้อยคนกล้าในวันนั้น ในใจของเขาก็รุ่มร้อนขึ้นนิดๆ เพียงมองดูโรงแรมที่ว่างเปล่า  ในห้องนั้น รู้สึกว่าโมโหจนอึดอัด แต่ไม่รู้ว่าจะไปไหนได้

“อ้าว ไปแล้วเหรอ? เมื่อวาน ฉันไม่เห็นเขาขยับอะไรกันเลย "โจวจีพักหนึ่งก็รู้สึกเสียดาย ไม่ว่าพี่ชายของเขาจะสนใจหนุ่มคนนั้นหรือเปล่า พวกเขาก็หวังว่าอยากจะทำความรู้จักกับชายหนุ่ม แต่วันๆมันไม่ได้ว่าง

เซียวส้าเงียบไปครู่หนึ่งและสั่งการอย่างไม่ชัวร์ว่า: "ไปเช็คเที่ยวบินวันนี้ซิ" หลังจากนั้นเขาสั่งให้คนขับรถไปสนามบิน

หานเหยี่ยนกลืนน้ำลาย ฝีเท้านั้นรั้งอยู่ครู่หนึ่ง หัวเราะดังๆ จ้องไปที่เซียวส้าแวบหนึ่ง อ้อมแอ้มเอ่ยออกมา"ที่ไหนกัน ... ดูท่าว่าพวกเขาไม่ได้ไปเครื่องนะ"

เซียวส้าหันหน้ามามองเขาผ่านๆ หานเหยี่ยนใจหายวาบ มองกลับไปตรงๆ  เขารีบสาบาน: "สาบานได้ ผมไม่ได้เห็นพวกเขาออกไป ไม่งั้นผมต้องไปแจ้งพี่แล้วแน่ๆ" เขาชอบเม้าท์ข่าว เมื่อรู้ว่าพี่ชายเขาสนใจชายหนุ่มนั่น เป็นธรรมดาว่าเขาเลยสนใจขึ้นอีกหน่อย เมื่อวานนี้ก็เห็นชัดเจน เด็กหนุ่มนั้นก็เหมือนกับตอนที่เขามา คือจากไปโดยไร้ร่องรอย เขารู้แค่ว่าพวกนั้นใช้รถแค้มปิ้งRV  ที่เหลือนั้นก็ไม่รู้แล้วจริงๆ

เซียวส้าพยักหน้าเป็นทีว่ารับทราบ แล้วให้คนขับรถขับกลับไปที่บ้านใหญ่  หานเหยี่ยนอึ้ง พี่ใหญ่ปล่อยเขาไปอย่างง่ายดาย ไม่น่าเชื่อเลย

โจวจี มองเขาพร้อมยิ้มเบะๆและดุเข้าให้: "ยังไม่รีบอีก"

"เออ!" หานเหยี่ยนตามทัน และในใจยังโหวงเหวง พี่ใหญ่ไม่ได้กดดันสร้างบรรยากาศเย็นชากับเขา เหลือเชื่อมาก

เซียวส้ากลับไปที่บ้านใหญ่และเดินตรงไปที่ห้องนอน เขาไม่ได้อยากไปแวะหาในช่วงนี้หรอก แต่ตอนที่กลับมาเข้าที่เดิมก็มีแต่เรื่อง ตลอดวันไม่มีได้หยุดได้หย่อน  จังหวะเวลานี้ได้โอกาส กะไปทีเดียวให้จบ เขาจึงรั้งรอไว้ก่อน เห็นโอกาสครั้งนี้ดีมาก เขาเองไม่ได้อยากจะพลาด  ไม่ได้เจอไป๋จิ่งนั้นทำเขาเคืองใจอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ถึงกับโกรธกริ้ว


.


ยิ่งเป็นแบบนี้เขายิ่งสนใจมากขึ้น ดวงตาดำนั้นก็ยิ่งฉายแววชอบอกชอบใจมากขึ้นอีก และเขามีชะตาต้องกันกับหนุ่มน้อยคนนี้จริงๆ เมื่อเขาได้ข้อมูลและได้รู้จักว่าชื่อนั้นคือไป๋จิ่ง เขาอดไม่ได้คิดถึงกลิ่นหอมอ่อนอวลอ้อยอิ่งจากร่างเด็กหนุ่ม กายเด็กน้อยที่นุ่มละมุนนัก

แม้ว่าเขาจะบาดเจ็บสาหัสในวันนั้น แต่เขาก็ไม่ได้สิ้นสติ คนอย่างพวกเขาต้องตื่นตัวอยู่เสมอแม้ในยามหลับ  จำได้ว่าถึงแม้เขาที่หลบหนีอยู่ในวันนั้น จะพลังกายอ่อนแรงพลังใจก็แตกยับเยิน เขาพิงข้างรถและคิดว่าจะไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะในใจเขารู้ดีว่าเดี๋ยวต้องมีคนหาเขาเจอ แล้วเขาคงไม่รอดต่อให้มีเก้าชีวิตก็ตาม

ตอนนั้นเขาก็ได้ยินเสียงมีคนเข้ามา และส่วนใหญ่ก็เป็นคนมีฝีมือต่อสู้ ในเวลานั้นเขาไตร่ตรองคิดอย่างรวดเร็ว ตรวจหาคนที่มืออ่อนที่สุดในพวกนั้น  เขาตัดสินใจขยับออกไป โดยไม่รีรอเขารีบคว่ำคนที่มืออ่อนที่สุดและรัดเขาอย่างแน่น แม้ว่าเขาเกือบจะเป็นลมและหมดสติ แต่ที่จริงแล้วเขาคร่ากุมจุดชีวิตของชายคนนั้นไว้ จริงๆแล้วเขากำลังพนันอยู่เช่นกัน หากคนผู้นี้มีทีท่าเป็นพิษภัย ถึงเขาจะดึงรั้งไม่อยู่ แต่ก็ยังสามารถบิดพลิกแขนจี้ล็อคกุมคนไว้ได้ จากนั้นคล้ายว่าเขาจะได้ยินเสียงหนุ่มน้อยที่ตำหนิติติง ซึ่งดังไม่เบาเลย ครั้นแล้วเขาก็ไม่อาจยั้งยันตัวไม่ไหว จิตใจเขาสับสนมึนงง แล้วก็หมดสติไปหลังจากที่เขาขึ้นไปบนรถแล้ว เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าอยู่ที่คลินิกส่วนตัวของตระกูลหนึ่ง

จากปากหมอเหอเขาจึงรู้จักไป๋จิ่ง ตลอดเวลานั้นเขาอยากจะขอบคุณเขาเสมอ เขาคนนี้เป็นคนแยกแยะรักแค้นชัดเจน โชคไม่ดีที่เขาขยับเขยื้อนไม่ไหวในเวลานั้นและชายคนนี้ไม่สบอารมณ์เอาเลย จากนั้นเขาได้ฟังว่าทางกลุ่มเกิดเหตุขึ้น เขาต้องมีเรื่องไปจัดการ เขาจึงผลัดไปก่อน แต่ไม่คาดว่าจะได้พบกันที่ในเมือง n ไม่น่าแปลกใจเลยว่ายามที่เขาเห็นเขาคนนั้นบนถนน จึงมีความรู้สึกคุ้นเคยที่อธิบายไม่ได้ และในครั้งนี้หนุ่มน้อยได้ช่วยเขาถึงสองเรื่องใหญ่ๆ จากหู จมูก จนถึงปลายนิ้ว ทุกส่วนราวกับเขายังรู้สึกได้ถึงสัมผัสนุ่มละมุนแห่งความอ่อนเยาว์นั้น




เซียวส้าฉับพลันนั้นไม่รีรอหยิบโทรศัพท์และโทรออกไปเมืองD ผลจากคาดเดาเป็นว่า ถามไปส่วนใหญ่นั้นพากันไม่รู้  เพียงแต่ได้ยินว่าเด็กหนุ่มวัยรุ่นนั่นไม่ได้ปรากฏตัวให้คนเห็นมาเป็นเดือนแล้ว

เซียวส้าขมวดคิ้วแน่น หากเขาถอยกลับไปแบบนี้เขาก็ไม่ใช่เซียวส้าแล้ว บอกกล่าวจัดการเรื่องในแกงค์จากนั้นก็มาเดินหน้าต่อ จองตั๋วเครื่องบินในอีกสามวันถัดไป เขาตกลงใจไปเมือง D อีกครั้ง ไม่เพียงแต่แค่อยากให้หลายเรื่องจบๆไป แต่ยังอยากฟังข่าวจากหนุ่มน้อยบางคน รู้สึกขัดใจที่พวกนั้นไม่ไปเครื่องบินกัน ถึงแม้ว่ารถแคมปิ้ง RV นั้นจะเด่นสะดุดตา แต่ประเทศ Z นั้นก็กว้างใหญ่ไพศาล เมื่อไม่ได้มีกำหนดเส้นทางที่แน่นอนก็ราวกับหาเข็มในกองฟาง แต่เขาเชื่อว่ายังไงหนุ่มน้อยก็จะต้องกลับมา

ในวันต่อมาเซียวส้าไปเมือง D บ้าง ได้รู้เพิ่มว่าไป๋จิ่งสั่งชุดยารักษาจากหมอเหอไว้ เขาไม่ได้ใจความอะไรอื่นจากที่รู้ และไม่ได้ใจความว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ แต่เซียวส้ามักจะรู้สึกว่าหนุ่มน้อยผู้อื้อฉาวเลื่องลือนี้ดูจะต่างไปจากสิ่งที่เขาเห็น แต่ก็แล้วยังไงล่ะ ยิ่งน่าสนใจขึ้นไปอีก ไม่ใช่หรือ? ใจเขาน่ะรับได้หมดอยู่แล้ว


.


ระหว่างเซียวส้าอยู่ในช่วงยุ่งเหยิงวุ่นวาย คณะไป๋จิ่งก็ไปถึงหวงซาน ตามที่อยู่ที่เขาจำได้ ไป๋จิ่งจึงไล่ตามหาอำเภอฉิงเชิง เรื่องที่อยู่แน่นอนของตระกูลหลินไป๋จิ่งเองนั้นไม่ชัดเจนนัก แต่เขาก็จำอำเภอฉิงเชิงได้ ในเวลานั้นมันมีชื่อเสียงจากคู่ของสองผู้เฒ่าหลิน แต่น่าเสียดายที่ภายหลังมันแตกพ่ายไปหลังจากที่ทั้งคู่เสียชีวิต

คนเรา ไม่ได้รู้เลยว่าเมือ่ไหร่ควรรู้จักพอ ครั้นได้กินอิ่มใส่เสื้ออุ่นแล้วก็เริ่มคิดเป็นอื่น แต่ไม่รู้ว่าพอตัวเองไปลงมือกับคนอื้นแล้ว ก็คือพาตัวเองให้ลำบากเอง ถ้าปราศจากที่กำบังแข็งแกร่งแล้วจะเอาชีวิตรอดในวันสิ้นโลกยังไง คิดเหรอว่ากำแพงเมืองในฉิงเชิงสามารถหยุดยั้งฝูงซอมบี้นับพันจนถึงนับไม่ถ้วนได้หรือ? ยังไม่ต้องพูดถึงสัตว์กลายพันธุ์เหล่านั้น





"ที่นี่สวยน่าทึ่ง" เฉาเหลยชื่นชมและขับรถไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ตอนนี้เขาต้องเป็นคนขับอยู่ดี แม้ว่าเขาจะไม่ชอบใจก็ต้องยอมรับชะตากรรม ใครใช้ให้เขากลายสภาพมาเป็นแฟนหนุ่มกันเล่า เพราะอยากให้น้องหนูของเขานอนพักผ่อนได้อย่างเต็มที่เขาเลยไม่มีทางเลือกเลยได้แต่บ่น แถมยังต้องทำงานหนักเป็นวัวเป็นควาย แต่เพื่อเห็นแก่ความรักของนายน้อย เขาทำใจให้อภัยอย่างไม่เห็นแก่ตัว

ถ้าไป๋จิ่งรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ เขาคงตายแน่ แล้วไม่ต้องคิดเลยว่าคืนนี้จะได้จู๋จี๋กับเด็กป๋า ใจเฉาเหลยเกรงจะเป็นแบบนั้น อึดอัดเก็บกดคับแค้นคนของตัวเองเหลือเกิน ช่วยคนไกลทิ้งคนใกล้ใส่ใจแต่นายน้อยใจโหด ถ้าจะให้ว่าไป ก็ต้องขอโทษที เพื่อชีวิตรักของเขาแล้วก็คงต้องจำทนต่อไป เรียนรู้ว่าถึงเวลาต้องทำตัวฉลาดๆแล้ว

“เห็นนายชอบ งั้นเราจะอยู่นี่กันและไปเช่าบ้าน” ไป๋จิ่ง พูดเบา ๆ และเขาวางแผนกะจะอยู่ที่นี่นานๆ ในเวลานี้อารมณ์ของเขาสงบลง และเขามาถึงอำเภอฉิงเชิงแล้วจริง ๆ แล้วเขาไม่ชอบภาพอยู่ในรถมึนๆงงๆ เรื่องพลังจิตเป็นเรื่องเฉพาะหน้า

"อยู่นี่?" ไม่เพียงหวางเสวี่ยปิงเท่านั้น แม้แต่เฉาเหลยก็ตะลึงงัน สิ่งแรกที่คิดคือนายน้อยจะอยู่ที่นี่ ประการที่สองฉันว่ามันแปลก ๆ ทำไมต้องเช่าบ้าน ทำไมไม่ซื้อเอา ไม่ใช่ว่านายน้อยรวยอยู่ตลอดเหรอ?

"มีใครค้านไหม?" ไป๋จิ่งขมวดคิ้วและมองจ้อง ถึงเขาจะมึนๆอยู่ ก็ไม่ได้ไม่รู้หรอกนะว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ทำท่าซะหยั่งกับว่ากลัวเขาจะดูไม่ออก  ไปตรงไหนก็ตามติดหวังเสวี่ยปิงแจอวดนิดอวดหน่อย ไม่ใช่ว่าสองคนพิศวาสจี๋จ๋ากันนักเหรอ เฮ้อ แต่แรกก็ไม่ได้คิดจะพรากเนื้อคู่คนเขาหรอก อันนี้เดี๋ยวต้องค่อยๆคิด

"เปล่า - -" เมื่อเห็นสีหน้าเข้มของไป๋จิ่ง เฉาเหลยรีบพูด เขาละกลัวนายน้อยผู้นี้จริงๆ ตอกย้ำย่ำยีเก่ง

"เหอะ!" ไป๋จิ่งแค่นเสียง เมินหน้าไป "ช่วยฉันตามหาผู้เฒ่าที่ชื่อหลินเหว่ยฉีหรือผู้ชายที่ชื่อหลินเจ๋อเฟิง ถ้าเราพักใกล้พวกเขาได้จะดีมาก”

เฉาเหลี่ยนตาสว่างเดี๋ยวนั้น เขาก็นึกออกทันทีว่านี่มันเรื่องนอกใจ ทรยศรัก

ตาสวยของไป๋จิ่งหรี่ลงนิดๆ และไม่รอฟังว่าเขาที่จะพูดอะไร เฉาเหลยคับอกคับใจ เรื่องตลกแล้ว เขาไม่ใช่บอดี้การ์ดกากๆ เรื่องร้ายๆแรงๆเห็นกันชัดๆ เขาจะไม่รู้สึกได้อย่างไร และรีบพูด “ผมจะเร่งไปหาที่พักก่อน แล้วค่อยดูบ้าน แล้วเรื่องตามหาคนผมจะให้ตำรวจช่วย "

ไป๋จิ่งหยุดพูดแล้วจ้องมองเขาครู่หนึ่ง นับว่ามองภาพออก


.


อย่างไรก็ตามไป๋จิ่งยังคงชอบความสามารถของเฉาเหลยในการจัดการเรื่องต่าง ๆ เนื่องจากเขาจะสร้างทีมในวันสิ้นโลก เขาจึงคิดว่าอาจจะรวม เฉาเหลยไว้ในนั้น จริง ๆ แล้วเขาก็รู้ว่าเพราะหวางเสวี่ยปิงอยู่ตรงนี้ เฉาเหลยถึงจะไม่หนีไปไหนแน่ เขายังคงเอือมอยู่หน่อยนึง แค่คิดว่าเฉาเหลยนั้นขี้หงุดหงิดโดยธรรมชาติ

หาโรงแรมได้โดยบังเอิญและหลังจากพักไปหนึ่งคืน เฉาเหลยไปที่สถานีตำรวจในวันถัดไป และไป๋จิ่งนั่งอยู่ในห้องถือตำราทางการแพทย์และอ่านอยู่ เขายังอ่านได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง ก็จดจำเรื่องการฝังเข็มร่างกายมนุษย์และบริบทของร่างกาย แต่ไม่มีจุดแนะนำเฉพาะสว่น เขาจึงเข้าใจจำกัดได้เพียงเท่าที่เขียนไว้ มันก็เหมือนกับการทำอาหาร ไม่ว่าได้อ่านมาหลากหลายสูตรอาหารแค่ไหน ก็ต้องแสดงฝีมือด้วยตัวเอง ถึงมีสองตาแต่ก็อาจกลายเป็นตาบอดได้แว่น




ในช่วงบ่าย เฉาเหลยนำข่าวมาแจ้งว่ามีผู้ชราชื่อหลินเหว่ยฉีอยู่สามรายในอำเภอฉิงเฉิง เพราะคนส่วนใหญ่ในเมืองของพวกเขาแซ่หลิน พวกเขาเลยเปลี่ยนแซ่กันหลายคน แต่หลินเจ๋อเฟิงมีปู่เพียงคนเดียวและอาศัยอยู่ในตระกูลที่อยู่ไกลโพ้น แต่เข้าไปในภูเขา เป็นหมู่บ้านบนภูเขาในเขตเมืองเล็ก ๆ ในอำเภอฉิงเชิง ได้ยินมาว่ามันห่างไกลมากแม้ว่ารถเข้าถึง ก็ยังคงเป็นทางดิน หลังจากเข้าไปแล้วประมาณ 9 กิโลเมตรก็จะถึง  และถ้าจะเช่าบ้าน พูดตรงๆว่า เขาไม่คิดว่านายน้อยจะอยู่ไหว

"ขี่มอเตอร์ไซค์ไปเช็คดูพรุ่งนี้" ไป๋จิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วใจเขาก็แจ่มใสทันที กลายเป็นว่าผู้เฒ่าหลินเป็นคนอยู่ภูเขา และเขาว่าในวันสิ้นโลกคนที่มีวิทยายุทธพากันอยู่รอดได้ดี ทำไมเขาตายในหายนะนี้ ต้องโดนให้ร้ายจากคนที่เขาช่วย

เดาได้ว่าบางคนก็ไม่มีพลังฉี ดังนั้นคนภูเขาจึงกลายเป็นผู้นำในพื้นที่ พอได้กินและได้อยู่อุ่นทุกอย่างไร้กังวล ก็จะคิดเป็นอื่นขึ้นมา แต่โชคดีที่เขาเป็นคนภูเขามีจิตใจดี และเขาจึงมีโอกาสเข้าพบเพื่อขอคำชี้แนะ จำได้ว่าคนอื่น ๆ อีกหลายคนที่มีวิทยายุทธ หากไม่ถูกทางการพาไปรวมเป็นฐานะผู้นำ ก็พากันตั้งทีมเอง

อย่างไรก็ตาม นั่นก็เมื่อก่อน หลังๆมาซอมบี้ก็มีพลังแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ วิทยายุทธกับกำลังภายในไม่ได้แทนทุกอย่างได้ ก้าวหน้าไม่เท่ากับได้กลืนแก่นผลึก แล้ววิทยายุทธก็ถูกละทิ้งไปเรื่อย ๆ ไป๋จิ่งเองไม่ทราบที่อยู่ของพวกเขา แต่ก็มีการระบุชื่อชัดเจน เขาเชื่อว่าหากทันทีที่เขาไปถึงที่นั่น เขาก็คงจะได้รับการปฏิบัติอย่างอบอุ่น แต่คนเหล่านั้นซับซ้อนเกินไปและหลังจากการสิ้นโลกจิตใจคนก็ต่ำช้า ไป๋จิงไม่อยากข้องแวะด้วย หลังจากไตร่ตรองเรื่องนี้ที่เขาคิดไว้ก็มีแต่เพียงผู้เฒ่าหลิน

นอกจากเขาแล้ว ผู้ที่ยังคงใช้วิทยายุทธในวันสิ้นโลกเป็นคนที่มีชื่อเสียงเสื่อมเสียแต่แอบซ่อนประวัติฉาวของตระกูลพวกเขาไว้มิดชิด  แน่นอนว่ายังมีตระกูลนักบู๊ที่แท้อีกสองสามราย แต่ไป๋จิ่งไม่คิดว่าไปปรึกษาคนพวกนั้นจะดีกว่าผู้เฒ่าหลิน "ตระกูล" สองคำนี้หมายถึงปัญหา เมื่อมากคนก็มากความ ตระกูลเหล่านั้นในวันสิ้นโลก มักไม่ใช่การฟอร์มทีมพวกความสามารถปกติที่โดดเด่นอะไร เพราะมีอุปสรรคมากเกินไป รับผิดชอบหนักไป หลายคนมีความรับผิดชอบลึกเกินไป แต่บางครั้งจิตวิญญานของพวกเขาก็น่ายกย่องเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครสามารถยืนหยัดได้จนถึงที่สุด
.

ก่อนที่เขาจะถูกจับเข้าสถาบัน ตระกูลนักบู๊หลายแห่งถูกสลายหรือไม่พวกเขาก็กลายเป็นวิญญาณหลังจากถูกซอมบี้กระซวกเอา จริยธรรมนั้นเป็นอะไรที่เขาไม่พูดถึงกันตอนวันสิ้นโลก




ในวันถัดมา เฉาเหลยหามอเตอร์ไซค์มาสองคัน ไม่ต้องถามเขาว่าทำไมไม่เอามาสามคัน นายน้อยของเขาชี้แนะคนอยู่ตลอดในเรื่องมอเตอร์ไซค์อะไรเทือกนั้น ถ้าที่เขาจำได้แม่น นายน้อยนั้นกลัวอย่าว่าแต่เขาจะนั่งเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการขี่

ไป่จิงไม่ค้านเรื่องนี้ เขาจะขี่มอเตอร์ไซค์ไม่เป็นได้ไง ถูกเซียวส้าบังคับมาเยอะแล้ว แต่พอดีนี่มีคนขับขี่ให้และเขาก็เบาแรงไปได้อย่างมาก

บ้านหลินเหว่ยฉีหาง่ายมาก เมื่อเขามาถึงเมืองซวงซีเขารู้จักที่ตั้งของหมู่บ้านมูจู่ หลินเหว่ยฉีเป็นคนดังในหมู่บ้านมูจู เนื่องด้วยลูกชายของเขาได้เข้าเรียนที่โรงเรียนแพทย์S ในตอนนั้นไม่เพียงแค่ดังในหมู่บ้านแต่จนถึงในเมือง ก็ดังเด่นเจิดจ้าเป็นเวลานานเลย





เมื่อมาถึงประตูบ้านหลิน มันเป็นบ้านอิฐธรรมดาๆ  บ้านไม่ใหญ่มาก แต่ก็ดูเรียบร้อย มียกขอบลานบ้านเล็ก ๆ อยู่หน้าบ้านซึ่งถูกลาดด้วยซีเมนต์ ลานหน้าบ้านมีกรงไก่สานด้วยไม้ไผ่วางไว้ ข้างในมีลูกเจี๊ยบหลายตัวร้องกุ๊กๆๆ ถ้ดจากกรงไก่มีชั้นอยู่2-3อัน เพาะถั่วและบวบไว้ ถัดไปอีกหน่อยเป็นต้นไม้ผลอยู่ข้างหน้า ตอนนี้มันเป็นฤดูเก็บผล ดูแล้วชวนให้อยากกิน

“ มีใครอยู่ข้างในไหม?” ไป๋จิ่งเข้ามาที่ประตูและไม่เข้าไปข้างในโดยตรง แทบทำเอาเฉาเหลยและหวังเสวี่ยปิงอ้าปากค้าง นายน้อยของพวกเขามากมารยาทตั้งแต่เมื่อไหร่ นอกจากจวนของท่านผู้ว่าจู้ นายน้อยอาละวาดไปทุกที่  ไม่มีหลบเลี่ยง

"คุณคือ ... " ไม่นานหลังจากนั้น หญิงชราคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในห้องพร้อมกับผมสีเทาและท่าทางสงสัย แม้ว่านางจะแต่งกายสุภาพเรียบร้อย ก็ดูออกว่าเรียนมาสูงและไม่มีดูบ้านนอกตรงไหน โดดเด่น

"สวัสดี ที่นี่บ้านของคุณหลินเหว่ยฉีใช่หรือเปล่า" ไป๋จิ่งถามพร้อมด้วยรอยยิ้ม อันที่จริงตราบใดที่เขาตั้งใจแล้ว เขาสามารถแสดงท่าทีชวนสนิทสนมสมกับรูปร่างหน้าตาของเขา และเขาสามารถชวนเชิญได้ทุกเพศทุกวัย

มีเพียงหวางเสวี่ยปิงและเฉาเหลยเท่านั้นที่สยองขวัญ นี่คือนายน้อยจากตระกูลของเขาหรือเปล่า? ใช่นี่! ใช่! หลังคุ้นเคยกับใบหน้าที่เย็นชาของนายน้อย กับอารมณ์คุ้มดีคุ้มร้ายแปลกประหลาดมานานเป็นเดือน การเปลี่ยนแปลงปุบปับครั้งนี้ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ

Back to the Apocalypse [BL] Ch-15

15
Chapter 15: ภายหลัง



ทุกอย่างเขม็งเกลียว ผู้กำกับปวดขมอง สีหน้าเซียวหงเฉยชาดวงตาของเขากราดเกรี้ยวผิดปกติ แม้ว่าเขาจะไม่ออกปาก แต่เมื่อเห็นเขาเช่นนี้ ไป๋จิ่งก็เดาได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ เห็นแบบนี้บ่อยๆในช่วงท้ายๆวันสิ้นโลก ก็แค่เรื่องฆ่าคน ถ้าเกิดเขาต้องตายในเมือง N พวกบอดี้การ์ดก็คงหุบปากเงียบ ถึงตรงนี้จะมีคนอยู่เยอะแยะ แต่เขาเองก็ไม่มีใครรู้จักตัวตน แล้วเซียวหงก็จะปิดเรื่องเงียบไว้ได้ในที่สุด

ไป๋จิ่งหยัน เฉาเหลยทำไมยังไม่มาอีก เขาชักทนรอไม่ไหวแล้ว เขาไม่เชื่อว่าหวางเสวี่ยปิงอยู่นี่ แล้วเฉาเหลยจะยอมให้ชีวิตเขาตกอยู่ในมือผู้กำกับจอมโลภ ที่นี่ดงนักเลงจะมาหาเหตุผลก็คงไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเองก็ไม่กะจะมีเหตุผลอยู่แล้ว

 ในใจเขากำลังคิดอย่างนี้ เมื่อวิทยุสื่อสารตรงเอวนายร้อยดังขึ้น เสียงไม่ดังแต่ก็ดังพอให้ทุกคนตรงนั้นได้ยิน

หัวหน้า หน่วยรบพิเศษล้อมรอบคลับไว้แล้ว

มุมปากของไป๋จิ่งหยักขึ้นน้อยๆ แล้วยิ้มไม่หยุดยั้ง ในช่วงวันสุดท้าย เขาได้เรียนรู้คำกล่าวที่ว่า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอำนาจสูงสุด ไม่ว่าการสมคบคิดและเล่ห์ร้ายใด ๆ ก็สุดจะเอาออกมาใช้ได้ จงคารวะให้กับกำลังที่แข็งแกร่ง

เซียวหงโวยขึ้นมาในตอนนั้นเพราะเห็นท่าจะไม่ดี เวลานั้นเขามองสีหน้าของผู้กำกับอีกที โดยไม่ลังเล ก่อนหน่วยรบพิเศษจะมาถึง  เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกคนหันปืนไปจับเป้าที่พวกของเซียวหงรอไว้  เรื่องเปลี่ยนแปลงเร็วจนทุกคนตั้งตัวไม่ทัน




ปัง!ประตูเปิดออก มีกำลังทหารจำนวนมากพรวดกรูกันเข้ามาพร้อมอาวุธครบมือ เข้าล้อมรอบพวกเขาทันที

นายน้อยเฉาเหลยเดินด้วยฝีเท้ามั่นคง เขาเร้นมองคนรักอย่างไร้ร่องรอย ไปยืนตรงที่ด้านข้างของไป๋จิ่ง ต่อหน้าคนภายนอกเขาวางตัวได้ดี

แม่เจ้า! ทุกคนในฮอลล์ถูกต้องหอบเฮือก พวกเขาไม่เคยเห็นภาพเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้เลย เรื่องใหญ่ขนาดนี้น่าระทึกขวัญจริงๆ เด็กคนนี้เป็นใคร ถึงกับเรียกให้เคลื่อนกำลังหน่วยรบพิเศษได้!

ไป๋จิ่งยิ้มบางๆ แล้วแวบมองที่เฉาเหลย ทำไมไม่รู้เลยว่าชายคนนี้ทำงานมีประสิทธิภาพมาก เขาพูดเบา ๆ ว่า: "พวกคุณมาที่นี่พอดีเลย จะได้เจอพวกแก็งค์อันธพาลอยู่ตรงนี้" สายตาเขามองที่เซียวหงและคนอื่น ๆ เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ “นิสนึง เรื่องจับก็อย่าพูดไป ฉันต้องขอบคุณผู้กำกับเมือง N เขาเป็นคนดีจริง ๆ และจังหวัด X นั้นเป็นพื้นที่ที่ดี

ผู้กำกับโล่งใจ ก่อนหน้านี้ได้ข่าวว่าคุณชายไป๋มีเหตุในคลับ เขาไม่โดดโหยงก็ไม่ไหวแล้ว ถ้าเป็นเรื่องขึ้น อนาคตของเขาคงจบสิ้น โชคดีที่เขายังคงลังเลไม่บ่ายเบี่ยงคุณชายไป๋ไปตรงๆ ไม่งั้นล่ะก็ เขาปาดเหงื่อเย็นเฉียบ คุณชายไป๋ดูนิสัยโหดระห่ำ เขาเองไม่ได้ทันรับข่าวเตือนเรื่องคุณชายไป๋ แต่ขณะเดียวกันหน่วยรบพิเศษได้ถูกแจ้งข่าวด้วย

เซียวหงมองอย่างขุ่นเคืองจ้องมองไป๋จิ่งอย่างโกรธกริ้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้เขาโต้ตอบไม่ได้ ไม่ได้รับการเตือนล่วงหน้า ไอ้หนุ่มคนนี้โผล่ขึ้นมากลางอากาศ เขายังพิศวงว่าหรือว่าเขาไปทำอะไรให้ขุ่นเคือง? เห็นอยู่ว่าเจ้าเด็กนี้จงใจสร้างประเด็นชัดๆ แต่หนุ่มน้อยนี้ไม่ใช่พวกรับมือง่าย ถ้าก่อนหน้าเคยบาดหมางกันจริงๆ ก็ไม่มีเหตุผลว่าทำไมเพิ่งมาหาเรื่องเอาตอนนี้ เซียวหงได้แต่รู้สึกว่ามารตนนี้ร่วงมาจากฟ้า ในใจจะไม่ให้เกลียดชังได้ไง วันนี้เขานั่งในตำแหน่งหัวหน้า  แต่ไร้เหตุผลสิ้นดีโดนปั่นจนป่วน

ผู้กำกับยังเชื่องเชื่ออีกด้วย ขณะที่เข้าปรามเซียวหงก็ปิดปากเขาไว้แต่แรก ดูเหมือนว่าเขากลัวว่าจะโดนขัดขืน ที่จริงไป๋จิ่งยิ้มเขาไม่ได้สนใจ เท่าที่เขาช่วยกำจัดเซียวหงให้เซียวส้ากลับมาได้ หลังสิบเดือนจากนี้ ใครแคร์ว่าใครจะตาย




พี่ซาในห้องส่วนตัวหันเหยี่ยนอ้าปากค้าง และจ้องมองไปที่ฮอลล์ตลอด นี่นี่ไม่ใช่แล้ว…” เขาพูดแล้วก็คว้าโจวจีต่อยฉันที เร็วๆ ฉันฝันอยู่หรือเปล่าเมื่อวานยังเห็นเซียวหงตัวเป็นๆ วันนี้เขาโดนจับกุมแบบนี้ เหลือเชื่อ

โจวจีไม่ได้ตื่นเต้นแบบเขา คิ้วขมวดเป็นกังวล ออกไปไม่ได้แล้ว เอาไงดีล่ะ?”

เซียวส้าเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นถามคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องตัวจริงเขาเป็นใคร

โจวจีอึ้งไปพักแล้วเก็บอาการ คิดว่าเขายังคิดถึงผู้ชายคนนั้นอยู่อีกแล้วส่ายหัว "ไม่รู้เรื่องราวเลย ดูเหมือนว่าเพิ่งเห็นเขาอยู่ในเมือง N วันนี้

เช็คประวัติเขาเสียงเซียวส้านั้นเย็นชาและเย็นยะเยือก สายตาของเขาไม่วอกแวกจับจ้องไปที่ดวงตาไป๋จิ่งที่กระพริบราวกับว่ากำลังจ้องมองเหยื่อจนน้ำลายสอ ดวงตาทรงอำนาจดิบเถื่อนของเขาวาววับเต็มที่อย่างผู้ล่า

ไม่ไม่ไม่ได้นาหันเหยี่ยนตกใจ เด็กคนนี้มีแต่จะเอาเรื่องยุ่งยากมาให้ หลังจากเห็นฉากเมื่อครู่ ถ้าเข้าไม่ถูกทาง เขานี่แหละจะมอดไหม้

เซียวส้ารั้งสายตากลับมา เขายังไม่ถึงมัวเมาไม่รู้ดีชั่ว แต่เขาก็สนใจ และดวงตาลึกล้ำก็ส่องวาบ ถ้าเดาไม่ผิด พวกแก๊งค์ใต้ดินจะกลับคำให้การในสองสามวันนี้ เขาช่วยเราคือว่าทำคุณให้ใหญ่หลวง ธรรมดาแล้วเราก็ต้องไปขอบคุณเขา

หันเหยี่ยนตระหนักดีว่านี่ล่ะ ไม่เมาเหล้าแล้วเรายังเมา...

โจวจีไม่ว่าอะไรเลย เขาเชื่อในพี่ใหญ่ของเขา เด็กหนุ่มคนนี้ไม่ว่าเขาจะเยี่ยมขนาดไหน ก็แค่ผู้ชายคนหนึ่ง พี่ใหญ่ไม่ทำอะไรที่ไม่เห็นแก่พี่น้องของเขาหรอก

แล้วตอนนี้เอาไง?” หันเหยี่ยนร้อนรนแล้ว ถ้าที่ตรวจสอบครู่หนึ่ง พี่ซาคงหนีออกไปไม่ได้

รอฉันกลับมาเซียวส้าสีหน้าไร้อารมณ์ น้ำเสียงเยือกเย็น เขาไม่พูดอะไร แต่หันเหยี่ยนและโจวจีเข้าใจดีว่าพี่ซากำลังเตรียมรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด หากพี่ซาถูกจับกุมได้ไว้สักสองสามวัน ต้องมีคนลากคอเอาคำสารภาพของเขาออกมา แต่มันก็ทำให้พวกเขารู้สึกมั่นใจพี่ซาไม่เคยทำอะไรไม่มั่นใจ ตอนนี้เซียวหงโดนจับ บางทีอาวุโสเฒ่าสองสามคนอาจมีกังวลขึ้นมา  หนทางบางอย่างก็อยู่ในมือของคนตระกูลเซียวเท่านั้น ถ้าพวกเขาไม่ช่วยพี่ซา จะได้แต่มองเนื้ออ้วนๆลอยฟ้าหายไปได้ยังไง

แต่พวกเขาไม่คาดว่าเรื่องจะง่ายกว่าที่คิดไว้เยอะ




ไป๋จิ่งเห็นเซียวหงจนมุมกฎหมาย และราวไม่ตั้งใจมองดูเขาแวบหนึ่ง กลายเป็นว่าเขานี่หรือบอส ดูทรงไม่เหมือนเลย

ผู้กำกับเห็นแบบนี้เลยหัวเราะ เขารู้ว่าเขาคงได้ไปที่จังหวัด X และไม่รู้สึกกดดันในใจแล้ว คุณชายไป่อาจไม่ทราบ แต่เดิมบอสที่นี้เป็นคนอื่น คือน้องชายเขา แต่ก็สักพักแล้ว ผมก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรกัน น้องชายเขาดูเหมือนจะหายตัวไปยังเป็นคดีค้างอยู่ที่สถานีตำรวจ จากนั้นเขาก็รับตำแหน่งแทนน้องชายเขา

ไป๋จิ่งได้ยินเขาพูดถึงเซียวส้า อดแน่นอกขึ้นมาไม่ได้ แต่แล้วเขาก็คลายออกและแสร้งทำท่าดูหมิ่น อื้ม! แค้นใหญ่หลวงอีกเรื่องสินะ น้องของเขาไม่แน่ว่าโดนเขาปองร้าย

ใช่ ใช่ ใช่เลย คุณชายไป๋พูดถูก เรื่องนี้จะต้องตรวจสอบกันให้ชัดเจน เดี่ยววันอื่นผมค่อยถอนหมายจับ"ผู้กำกับหัวเราะเฉียบ เช็ดเหงื่อเย็น ใจเต้นรัว แต่ไม่มีทางอื่น ใครให้ไป๋จิ่งพูดทุกเรื่องออกมาแล้วเขามีส่วนเกี่ยวข้อง

เมื่อไม่มีอะไรแล้ว แยกย้ายกันได้แล้ว วันนี้ทุกคนมาเจอเรื่องน่าตกใจ อีกทั้งฉันเองยังเพลียมาออกเดินท่องทริปเสียยาว ไอ้พวกสมควรตายนี้พาทำเสียอารมณ์หมดไป๋จิ่งบ่นพาเอาทุกคนในใจเหงื่อซ่ก อดไม่ได้ยังต้องนึกเวทนาเซียวหง คลับเขาตอนนี้ต้องมาเจอดาวร้าย ไม่รู้ว่าผิดพลาดอีท่าไหน

ไม่ใช่ว่าดูกันไม่ออกว่าไป๋จิ่งจงใจหาเหตุ แต่มันก็ต้องมีสาเหตุที่จงใจมาเอาเรื่องกันแบบนี้ ว่ากันแค่ว่าหนุ่มน้อยคนนี้ไม่เคยเจอว่ามาเมือง N แต่ว่าคนที่โดดเด่นเช่นนี้มีภูมิหลังตระกูลสูงส่งปานนี้ จะไม่มีข่าวคราวเลยได้อย่างไร

แค่เห็นโจ้วเจ๋อเฉินโดนตีไปหลายดอกเข้ากับตัว แต่กระนั้นดูไปแล้วเหมือนว่าเรื่องนี้มีแต่เซียวส้าที่ได้ประโยชน์จากต้นจนจบ แต่ถ้าว่าเซียวส้ารู้จักบุคคลเช่นนั้น ก็ดูไม่น่าเชื่อ มิฉะนั้นเขาจะเป็นคนที่โดนตามล่าทั่วเมืองได้อย่างไร

จะอะไรก็เหอะ เรื่องราวจบลงในที่สุด เพราะเซียวหงก็เป็นอันธพาล โดนกระหนาบด้วยหน่วยรบติดอาวุธ ผู้กำกับโบกมือแล้วตรองเรื่องโกหกพกลม เขาภาวนาให้เรื่องจบลงอย่างไวๆ อยากรู้จริงๆว่าปัญหาคืออะไร เห็นอยู่ว่าเขากำลังจะได้รับการเลื่อนขั้น เขาไม่ต้องการให้มีเรื่องราวอะไรอีกภายหน้า เรื่องในวันนี้ทำเขาอึ้งไปพอแรงแล้ว

ด้านนอกประตูคลับ ไป๋จิ่งระบายลมหายใจแรงลึก หลั่งเลือดตระกูลใหญ่ คู่แค้นสายโลหิต ที่แท้เซียวส้าต้องทนทุกข์จากการทรยศญาติสนิทด้วย เขาเพิ่งรู้ในวันนี้ น่าขันที่เขาเคยเกลียดเซียวส้าจนพูดจาไม่ดีใส่ แต่เขาไม่รู้ว่าเขาสะกิดแผลเก่า

หลังจากจัดการกับเซียวหงและหวังเฉิง เซียวส้าก็กลับมาได้แล้ว

ไป๋จิ่งคิดอยู่ลึกๆในใจ ฉับพลันรู้สึกโฮมซิคขึ้นมา เมื่อกลับมาแล้วเซียวส้าจะมาเยี่ยมเขาไหม?




เฉาเหลยไร้คำพูดตลอดทาง เมื่อพวกเขากลับมาที่โรงแรม เขาถามว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั้น หวางเสวี่ยปิงอธิบายว่าเป็นเรื่องร้อนเร่งด่วนโคตรๆ

ไป๋จิ่งนั้นอยู่ในอารมณ์ซับซ้อน ไม่ไหวจะทน เขาแค่กล่าวกับหวางเสวี่ยปิงแบบนี้ คืนนี้นายมานอนกับฉัน

หวางเสวี่ยปิงตาค้าง และอ้าปากหวอ

เฉาเหลยพลันหุบปาก

ไป๋จิ่งคร้านจะมองพวกเขาแล้วเดินตรงเข้าห้อง หวางเสวี่ยปิงตามปกติไม่ได้ติดตาม ได้แต่หันมามองคนรัก คิ้วของเขาขมวดยุ่ง แล้วเขาจึงอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้น ในวันนี้

นายว่า นายน้อยเป็นผีหรือเปล่า?” ในฐานะบอดี้การ์ด เฉาเหลยมีความเห็นชัดเจนในเรื่องบุคลิกของไป๋จิ่ง ไม่ต้องพูดถึงที่ต้องถูกตรวจสอบก่อนเข้าทำงาน แต่หลังจากนั้นเขาไม่เห็นความแตกต่างอะไรของนายน้อย ราวกับว่าจากเดิม แค่เพียงเดีอนเดียวมานี้เองที่นายน้อยก็เปลี่ยนไป

โง่ปะเนี่ย ยังจะมีผีอยู่เหรอ? ถ้ายังมีผีอยู่ในโลก ฉันว่าก็นายนี่ละผีตัวนึง

“ผีบ้าผีบออะไร ผีจับหัวล่ะไม่ว่า” เฉาเหลยหัวเราะสนุกเล่น

ไสหัวไปเลย อย่ามามือไม้เกะกะ ผีจับหัว” หวางเสวี่ยปิงหัวเราะและดุเข้าให้      

เรียกฉันผีแบบนั้น งั้นอย่าขยับนะ อย่างนั้นทำ …”

“…” 

พากันหัวเราะอีกที แล้วเลยไม่ได้คุยเรื่องเดิมกันต่อ ลืมเขาไปเลยอย่างไรก็ตามนายน้อยก็ดีมากๆ  แม้ว่าพวกเขาจะตะลึงกับการเปลี่ยนแปลงของนายน้อย แต่ก็ไม่ได้คิดว่าผิดตรงไหน ถึงนายน้อยเอาแต่ใจอย่างเปิดเผย เว้ากันซื่อๆ รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องงี่เง่า  พอมาถึงตอนนี้ก็รู้สึกว่าก็ไม่ได้ขัดตานัก แม้ว่าตอนนี้หลายคนเห็นแล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ในวันถัดมาผู้คนมาเยี่ยมคารวะไม่รู้จักจบจักสิ้น ไป๋จิ่งอดทนรับมือกับมัน แต่ละครั้งคราวก็เหลียวไปมองและถามไปสองสามคำ เขาได้รู้ว่าตำรวจได้ถอนหมายจับแล้วเขาก็ถอนใจโล่งอกขึ้น แต่ไร้ข่าวจากเซียวส้าทำให้เขาออกจะผิดหวังอยู่นิดหน่อย




จากนั้นในวันที่สามและสี่ เขาได้ยินว่า จินไห่ถังตกอยู่ใต้การดูแลของเซียวส้าแล้ว แต่ตัวเขาเองไม่ปรากฏกาย ให้คนข้างกายลงมือ

ไป๋จิ่งรออยู่เงียบๆ ตะละวันเขารับมือผู้คนจำนวนมาก เขาไปพบตั้งแต่กองพลาธิการของนายกเทศมนตรี ลงมาจนถึงนักธุรกิจทุกประเภท จากพวกหนึ่งไปอีกพวก เกรงว่าถ้าไม่ออกรับแขกจะทำให้เขาพลาดเจอเซียวส้า

แต่ตลอดจนถึงวันที่หก เซียวส้าก็ยังไม่มาพบ ในใจไป๋จิ่งปนเปด้วยหลากอารมณ์ ไม่รู้ว่านี่เป็นเพราะเขาเศร้าหรือเขาเองก็โล่งอก แม้ว่าเขาจะพร้อมอยู่นานแล้ว ในใจยังอยากตรองเรื่องเซียวส้าอยู่อีก แต่ครั้นจะได้พบเข้าจริง ก็อดขึ้ขลาดขึ้นมาไม่ได้ ภาพที่ผุดขึ้นมาต่อหน้า ทุกครั้งก็เป็นเซียวส้าทันใดถูกซอมบี้กระซวกทะลุร่าง

ไปได้แล้ว!ไป๋จิ่งกล่าวเบาๆ เขาไม่ได้กะจะรอและรู้ว่าเซียวส้าไปได้ดีเช่นนี้แล้วเขาก็โล่งใจ   เพียงแค่ตอนนี้เขามีเรื่องสำคัญกว่า

เขาไม่ใช่เด็กๆอีกแล้ว และเขาจะไม่พลาดเพราะเรื่องมโนสาเร่ วันสิ้นโลกใกล้เข้ามาแล้ว  ตอนนี้เขาแกร่งขึ้น ก็มีโอกาสมากขึ้นที่จะรอดในอนาคต

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดที่จะไปเจอเซียวส้า แต่จะให้บอกว่ายังไงล่ะ ไปบอกเซียวส้าว่ามีวันสิ้นโลกจะมาแล้ว? เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ไม่สู้เสริมออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเอง ในอนาคตเขาจะสามารถปกป้องเซียวส้าได้ดีขึ้น  เซียวส้าตายเพื่อช่วยชีวิตเขาไว้ในชาติก่อน อย่างนั้นในชีวิตนี้ให้เขาปกป้องเซียวส้า ต่อให้ไม่ได้พบหน้ากัน สิ่งนี้มันก็ไม่กระทบการตัดสินใจของเขา!





ไปเป็นแม่ศรีเรือนในโลกผู้ฝึกปราณ 02 หาที่ตาย

    พวกนี้ใคร? ทำไมต้องมาต่อยตีกันด้วยล่ะ? แล้วพี่รองและพี่น้องคนอื่น ๆ ล่ะ? แล้วนี่มันที่ไหนเนี่ย? หรงอี้เห็นภาพฉากทัศนวิสัยโดยรอบเปลี่ยนจา...