Saturday, October 5, 2019

องค์หญิงเว่ยหยาง บทที่ 13: ยืมมือผู้อื่นเอาคืน



องค์หญิงเว่ยหยาง



บทที่ 13: ยืมมือผู้อื่นเอาคืน



หลี่เว่ยหยางมั่นใจเต็มที่ว่าเมื่อเหล่าฟูเหรินดื่มชาของนางแล้ว นางจะดื่มชาที่คนอื่นชงไม่ลงอีกเลย เพราะที่แท้แล้วตั้วปาเจิ้นนับเป็นคอชา อีกทั้งอยากทำให้เขามีความสุขนางจึงค้นหามือฉมังด้านชาที่เลื่องชื่อ และได้รับการสอนสั่ง หลังจากแปดปีผ่านนางมั่นใจมากพอที่จะเอ่ยอ้างว่าฝีมือชงชาของนางนั้นยอดเยี่ยม และหาผู้ใดเกินหน้าได้ไม่


นางไม่กริ่งเกรงที่ต้าฟูเหรินจะสอบสวนเรื่องราวนี้ เซียวเจี๋ย(คุณหนู)ทั้งหมดของตระกูลหลี่ในผิงเฉิงรู้วิธีชงชา นางอยู่ที่ผิงเฉิงมาระยะหนึ่งแล้วจึงมีเหตุผลที่ฝีมือชงชาของนางดีขึ้นเช่นกัน


โดยรวมแล้วเมิ่งซื่อพอใจกับชามาก นางมองเว่ยหยางพร้อมรอยยิ้มของนางอบอุ่นขึ้นมาก “ วิธีที่เจ้าชงชานั้นไม่เหมือนคนอื่นเลย เจ้าเรียนรู้ทักษะการชงชาที่ไหน?”


ในช่วงชีวิตก่อนหน้านี้เพราะนางเป็นบุตรีของอนุที่เกิดในเดือนสอง นางมักจะระมัดระวังมารยาทและคำพูดของนางเสมอ ในทุกยามนางนั่งเงียบ ๆ อยู่ในมุมหนึ่งและไม่เคยพูดคุยกับเหล่าฟูเหรินอย่างสนิทสนม อย่างไรก็ตามนางไม่เป็นอย่างนั้นอีกแล้ว


นางตอบว่า“ เหล่าฟูเหริน ตอนที่ข้าอยู่ที่ผิงเฉิงพวกเขาเชิญซานเนียงของดงเจี่ยมาสอนเหล่าคุณหนูว่าจะชงชาอย่างไร ข้าได้เข้าร่วมและผลสุดท้ายก็เรียนรู้ทักษะเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เกรงว่าข้ายังด้อยฝีมือนัก”


ท่าทีต้าฟูเหรินนับว่าแย่แล้ว แม้แต่หลี่จางเลอก็คิ้วขมวด เรียนรู้ทักษะเพียงเล็กน้อย แต่ยังสามารถชงชาได้เพียงนี้? หากนางได้รับการมุ่งมั่นอย่างจริงจังตั้งแต่ต้นแล้วก็ไม่ได้หมายความว่า . .


ซานเหนียงของตงเจียเป็นนักชงชามือฉมังเลื่องชื่อและเป็นที่คารวะอย่างสูง น่าเสียดายที่นางมีปัญหาในการเคลื่อนไหวเดินเหินดังนั้นนางจึงไม่เคยออกจากผิงเฉิง หลี่จางเลอเคยคิดที่จะชวนนางไปที่จวน แต่น่าเศร้าที่ไม่มีโชค ได้ยินคำกล่าวจากเว่ยหยางสำหรับผู้ซึ่งทะนงตนเยี่ยงหลี่จางเลอ กลับคล้ายการประกาศศึก


หลี่เว่ยหยางสังเกตท่าทีของทั้งแม่ลูก แต่ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าของนาง นางเอ่ยเรียบๆว่า“ เหล่าฟูเหรินข้าจะขอยืมชาสักครู่ได้ไหม”


เมิ่งซื่อพยักหน้าเล็กน้อย


หลี่เว่ยหยางก้าวไปข้างหน้าหยิบถ้วยชาข้างๆ เมิ่งซื่อแล้วค่อย ๆ หมุนไปรอบ ๆ หลังจากนั้นนางก็วางลง เมื่อเหล่าฟูเหรินก้มดูและสังเกตเห็นดอกโบตั๋นปรากฏอยู่ในจอกชา ไอน้ำพวยพุ่งจากจอกยิ่งสร้างบรรยากาศล่อลวงขึ้น


ที่นั่งอยู่บนด้านข้างคือสะใภ้เหวินซื่อ อดอยากรู้อยากเห็นและกระเถิบใกล้ไปดู ขณะที่นางมองเข้าไปในจอกนางรู้สึกประหลาดใจ “ ข้าไม่เคยรู้เลยว่าจะสร้างดอกไม้แบบนั้นได้! ทักษะของเจ้ายอดเยี่ยมจริงๆ!”


ท่าทีหลี่จางเลอแปรเปลี่ยน พลันนางก็ยืนขึ้นแล้วเดินไป เมื่อเห็นดอกโบตั๋นนางก็อึ้งไปทันที


หลี่เว่ยหยางตอบอย่างถ่อมตนว่า“ นับเป็นเคล็ดลับง่าย ๆ แต่อย่างน้อยมันก็นำรอยยิ้มแต่งแต้มสีหน้าของเหล่าฟูเหริน ซานเหนียงของดงเจี่ยสามารถสร้างภูเขาและแม่น้ำจากใบชา ตอนนี้ฝีมือเยี่ยงนั้นย่อมทำให้ผู้คนไร้วาจาจากเสียงปรบมือเกรียวกราวแล้ว”


เคล็ดลับง่าย ๆ ? หาใช่สักคนในเมืองหลวงที่สามารถทำเช่นนี้ได้


เมิ่งซื่อจับจ้องจอกชาดอกโบตั๋นค่อยๆสลายไปในขณะที่นางถอนหายใจเล็กน้อย


ในขณะเดียวกันดวงตาของเหวินซื่อหรี่ลงและนางถามว่า“ คุณหนูสามแขนเสื้อของเจ้าเป็นอะไร”


เมื่อแขนของเว่ยหยางหย่อนอยู่ข้าง ๆ ก็สังเกตเห็นได้ไม่ชัด แต่เมื่อนางยกแขนของนางแขนเสื้อก็ถูกยกขึ้นโดยบังเอิญเช่นกัน เผยให้เห็นแขนเสื้อที่ไม่ตรงกันด้านใน หลี่เว่ยหยางรอคำถามนี้มาตลอด นางรีบลดแขนและเอ่ยด้วยความอับอายว่า“ ไม่มีอะไร”


“ อันใดที่ว่าไม่มีอะไร?  เห็นชัดๆอยู่ว่าแขนเสื้อตัวในของเจ้าจะสั้นมาก!” บุตรีเหวินซื่อ หลี่ชางหรูจงใจเปล่งเสียงออกมาอย่างตระหนก ประหนึ่งนางเจอความลับที่ยิ่งใหญ่


ทันทีที่นางได้ยินคำพูดนั้น ต้าฟูเหรินจ้องตรึงที่หลี่เว่ยหยาง  สายตาของนางคมกริบราวกับดาบเตรียมสังหาร นางยิ้มและพูดช้าๆว่า“ เว่ยหยาง นี่มันเรื่องอะไร” แม้จะพยายามซ่อนความรู้สึกของนางให้ดีที่สุดน้ำเสียงของนางก็ยังคงเหี้ยมเกรียม จนทุกคนในที่นั้นรับรู้ได้


หลี่ชางหรูกระพริบตาอย่างตื่นเต้นและพูดว่า“ ต้าไบมาเจ้าไม่เห็นเหรอ? เสื้อผ้าของเว่ยหยางขนาดไม่พอดีตัว! ไอ้หยา น่าสมเพช นางไม่มีอะไรเลยแม้เรื่องจ้อยอย่างเสื้อผ้าพอดีๆ”


หลี่เว่ยหยางหลุบตาลงมองพื้น นางดูลนลานและอยู่ไม่เป็นสุข แต่ข้างในนางกำลังหัวเราะ ต้าฟู่เหรินให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และศักดิ์ศรีของนางเป็นอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางอยู่ต่อหน้าเหล่าฟูเหรินและสะใภ้คนอื่น ๆ อย่างไรก็ตามเนื่องจาก ต้า ฟูเหรินจงใจละเลยที่จะจัดหาเสื้อผ้าและสิ่งจำเป็นให้กับนางอย่างเหมาะสม ทำไมเว่ยหยางจะช่วยรักษาหน้าของนางเล่า? ต่อให้ต้าฟูเหรินจะเคืองเว่ยหยางมากขึ้นอีก แต่ชื่อเสียงของนางก็จะมัวหมองทันทีที่ทุกคนรู้ว่านางกดขี่บุตรีของอนุ ชื่อเสียงของเสนาบดีก็น่าจะเป็นเรื่องเสียแล้ว เช่นนี้เองเหล่าฟูเหรินย่อมสอดมือเข้ามาอย่างแน่นอน


เหวินซื่อหัวเราะลั่นและกล่าวว่า“ ต้าเสา คงเป็นว่าเจ้ายังหาช่างเสื้อพื้นๆสักคนให้ตัดเสื้อผ้าเว่ยหยางไม่ได้กระมัง? นางกลับมาได้เดือนหนึ่งแล้ว”


เมิ่งซื่อมองดูต้าฟูเหรินอย่างเหลืออด แม้ว่าต้าฟูเหรินเป็นคนดุ ใบหน้าของนางก็ยังเปลี่ยนเป็นสีแดงในขณะนี้


หลี่จางเลอปกป้องอย่างรวดเร็ว“ ท่านแม่ว่าไว้ก่อนหน้านี้ว่านางจะมีชุดใหม่สี่ชุดให้เว่ยหยาง ทำไมถึงยังมาไม่ถึง นี่ย่อมเป็นคนรับใช้ที่ไร้ความรับผิดชอบ!” จางเล่อพุ่งสายตาของนางไปยังเว่ยหยาง แม้ว่านางจะตำหนินางก็ยังมีน้ำเสียงเจือความสงสารขณะที่นางจ้องที่ เว่ยหยางราวกับว่านางกำลังจ้องมองน้องสาวน้อยๆที่นางรักใคร่สุดแสน “ น้องสามเจ้าควรจะมาบอกกับข้าสักหน่อย แทนที่จะใส่ชุดดังกล่าวออกข้างนอก มิใช่มันทำให้ท่านแม่ขายหน้าไปด้วยเหรอ?”


ปากของเว่ยหยางหยักเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ โดยมิหวั่นแม้สักน้อย “ ที่ต้าเจียกล่าวนั้นชอบแล้ว แต่เราใส่คนละขนาดกันไม่อย่างนั้นข้าคงจะรบกวนเจ้าอยู่แล้ว”


แม้จะเป็นบุตรีของอนุนางก็ยังคงเป็นบุตรีของเสนาบดี เป็นไปได้หรือที่จะให้บุตรีของเสนาบดีใช้ของส่งต่อ? หลี่เว่ยหยางรู้แน่นอนว่าหลี่จางเล่อไม่ได้ตั้งใจที่จะให้เสื้อผ้าที่ใช้แล้ว แต่นางจงใจระมัดระวังเลือกใช้คำพูดและพร้อมเจตนาเปี่ยมความหมายเพื่อที่จะทำให้จางเล่อพูดไม่ออก


ดังคาด จางเล่อกล้ำกลืนการตอบโต้ของนางลงเพราะความโกรธเดือดพล่านอยู่ข้างใน ดรุณีไหนๆล้วนเชื่อฟังและนอบน้อมต่อนางเสมอ และหลี่เว่ยหยางก็ไม่ใช่หนึ่งในนั้น หลี่เว่ยหยางบ้าไปแล้ว!


ต้าฟูเหรินไม่มีท่าทีโกรธใด ๆ แม้หากว่านางจะโกรธนางก็จะไม่แสดงให้เห็นบนใบหน้าหรือเปล่งเสียงดัง  ทำเช่นนั้นจะทำลายภาพลักษณ์ที่สง่างามและมีเมตตาของนาง แต่วันนี้หลี่เว่ยหยางตบหน้านางโดยปรากฏตัวข้างนอกด้วยเครื่องแต่งกายไม่เหมาะสม


ห้องนั้นเงียบกริบ  เงียบจนแต่ละคนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น


เรียกหาศัตรูออกจากต้าฟุเหรินไม่ใช่เรื่องดี แต่แล้วไงเล่า ก่อนหน้านี้นางเคยเชื่อฟังและยอมกรานให้ แต่ก็ยังลงเอยไปตกในเงื้อมมือผู้อื่นในกระดานหมาก ครานี้นางต้องการที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของนาง ขณะนี้นางกำลังพนันในความปรารถนาของเหล่าฟูเหรินที่จะปกป้องชื่อเสียงของตระกูลหลี่


จื่อเยียน ผู้ติดตามเว่ยหยางงองุ้มมือของนางเป็นกำปั้นเกร็งในแขนเสื้อของนางเมื่อร่างนางสั่นสะท้าน กลับกันเว่ยหยางยังคงแย้มยิ้มอย่างต่อเนื่องบนใบหน้าของนาง ไม่มีกระผีกริ้นจะกลัวหรือการยอมก้มกรานในแววตาของนาง


เมิ่งซื่อมองที่ต้าฟูเหรินและกล่าวเรียบเรื่อย“ นับว่าเจ้าละเลย”


ปรกติแล้วเหล่าฟูเหรินไม่สนใจเรื่องในจวนของเหล่าฟูเหรินและไม่เคยตำหนิต้าฟูเหริน อย่างไรก็ตามด้วยประโยคนี้เพียงประโยคเดียวก็แสดงให้เห็นว่าเหล่าฟูเหรินกำลังเข้าข้างเว่ยหยางในเรื่องนี้ ความโกรธแล่นไปทั่วร่างต้าฟูเหรินพร้อมใบหน้าของนางแดงยิ่งขึ้น ลมหายใจของนางขัดและนางก็ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ตอนนี้นางโกรธเกรี้ยวอย่างแท้จริง - โทสะแรงกล้าถึงขั้นว่านางไม่อาจรักษาสีหน้าได้อีกแล้ว


แม้จะเป็นแม่เรือน แต่สามีของนางเป็นเสนาบดีและให้ความสำคัญกับความเคารพและกฎเกณฑ์ของตระกูลมาก ด้วยเหตุผลอย่างนั้นเหล่าฟูเหรินจะต้องไม่โกรธหรือดูหมิ่น มิพักจะกล่าวถึง เหวินซื่อมักจะมองนางด้วยตาเหยี่ยวคู่หนึ่งพร้อมจ้องจับผิดนางได้ตลอดเวลา นางทำอะไรไม่ได้นอกจากฝืนทนและยืนหยัดกับมัน นางต้องรักษาภาพลักษณ์ของนางในฐานะภรรยาและมารดาของเสนาบดีที่เปี่ยมเมตตา สง่างาม เที่ยงธรรมให้กับบุตรีของอนุทุกคน


หลี่เว่ยหยางเป็นเพียงบุตรีของอนุ ถ้านางจะให้บทเรียนกับดรุณีเหล่านี้ สิ่งแรกที่นางต้องทำคือทำใจให้สงบและไม่ทำอะไรหุนหันและไม่ประมาท ในเบื้องหน้ายังมีโอกาสอีกมากมายที่หลี่เว่ยหยางจะเข้าทางนาง


ดังนั้นแม้ว่านางจะโกรธเกรี้ยว ต้าฟูเหรินก็หันไปหาหลินมามาอย่างเครียดขึ้งและกล่าวลั่นว่า“ คุกเข่าลง!”


หลินมามาตะลึงด้วยความประหลาดใจ ทุกคนในห้องต่างแปลกใจ

No comments:

Post a Comment

ไปเป็นแม่ศรีเรือนในโลกผู้ฝึกปราณ 02 หาที่ตาย

    พวกนี้ใคร? ทำไมต้องมาต่อยตีกันด้วยล่ะ? แล้วพี่รองและพี่น้องคนอื่น ๆ ล่ะ? แล้วนี่มันที่ไหนเนี่ย? หรงอี้เห็นภาพฉากทัศนวิสัยโดยรอบเปลี่ยนจา...