ดูท่าชักจะไปกันใหญ่ บางคนที่รู้จักกับโจ้วเจ๋อเฉินก็เข้ามา
“เจ๋อเฉินเกิดอะไรขึ้นกับนาย…ฮา
ฮา ฮา…” ชายคนนั้นหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง หัวเราะจนตัวงอ
ขำจนเกือบปวดท้อง
โจ้วเจ๋อเฉินทั้งโกรธทั้งอายจนโมโหเดือด
สีหน้าดูไม่ได้จ้องมองไปที่ไป๋จิ่ง หวางเสวี่ยปิงก้าวมายืนขวางด้านหน้าเจ้านายหนุ่มด้วยความสูง
183 เซนติเมตรของเขา เขามีรูปร่างที่บอกถึงการฝึกหนักมาเป็นปีๆ และมองแวบแรกก็ดูออกว่าเป็นระดับครูฝึก
“นายสองคน น้องฉันไม่ได้ทำอะไรผิด” สีหน้าชายผู้นั้นดูเย็นชาลง
เขาหัวเราะน้องชายตัวเองได้ แต่ใครก็อย่าได้มารังแกน้องเขา
ไป๋จิ่งเมินผ่านเขาไป แค่กวาดตามองขึ้นลง
พนักงานที่ให้บริการก็ไร้หัวคิด ถึงแม้ว่าในฮอลล์จะเสียงดัง แต่นี่เขาลงมือตีคนไปเชียวนะ
ทำไมการ์ดที่นี่ถึงยังไม่มา ในใจเขาคิดแบบนี้
ความรู้สึกและอารมณ์นี่เลยทำให้เขาชักหงุดหงิด
ถึงเขาไม่ได้มีมิตรภาพแน่นแฟ้นอะไรกับเซี่ยหมินเหิง แต่เห็นแก่เซียวส้าก็เลยไม่ใช่ว่าปล่อยให้เจ็บตัว
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าที่เขาเกลียดมากที่สุดคือคนใช้กำลัง ยังไงก็เหอะ
เขาคงกรากเข้าห้องไพรเวทโต้งๆไม่ได้ ไร้เหตุผลสิ้นดี
เขาไม่ได้คิดสำนึกคุณไปร่วมหัวจมท้าย จนต้องเผยตัวเอง ก็ถ้าไม่อย่างนั้น จะให้เอาอะไรไปอธิบาย
คนมาใหม่ชักฉุนที่โดนเมิน และมีบางคนแถวๆนั้นก็เดินเข้ามาหาเขา
และไป๋จิ่งกวาดตาแวบ เพราะไม่มีการ์ดรักษาความปลอดภัยมาสักที อย่างนั้นเขาคงต้องเล่นใหญ่
อย่างไรก็เถอะเขาตกลงใจแล้ว เมื่อเซียวหงและหวังเฉิงไม่ออกมาเขาสาบานเลยว่าจะไม่เลิกรา
คว่ำโต๊ะด้วยฝ่ามือเดีย ถ้ายังไม่แรงพอจะหันมามอง อย่างนั้นก็เอาต่อ
พังมันอีกสักหลายๆโต๊ะถัดไป
ทุกคนพากันสยองจนโดดโหยง แกเป็นใครวะเนี่ย
กร้าวเกิ๊น ไม่รู้เรอะว่าที่นี่ที่ไหน?
บางคนทอดถอนอย่างสลดใจต้องส่ายหัว
มองเห็นรูปโฉมไป๋จิ่งดูหล่อเหลา ได้แต่ว่าอยู่ในใจ น่าเสียดาย หนุ่มน้อยคนนี้เกรงว่าจะโดนกวาดล้างไม่เหลือ
เจ้าของของคลับจักรพรรดิไม่ใช่เดนสังคมแบบดีๆหรอกนะ
แต่บางคนก็รอดู เซียวหงเพิ่งได้เป็นเจ้าของคลับไม่นาน
หนุ่มน้อยคนนี้มีแบ็คดีอะไร ถึงกล้ามามีเรื่อง
หวางเสวี่ยปิงรู้สึกจนใจจริงๆ เขาโทรหาเฉาเหลยเมื่อดูแล้วว่ากำลังตกที่นั่งลำบาก
เขาเข้าใจความเจ้าอารมณ์ของนายน้อยแค่เพียงนิดหน่อย ดูทางว่าวันนี้คงไม่ใช่เรื่องดีแน่นอนแล้วล่ะ
เป็นบอดี้การ์ดสุดซวย อย่าก่อเรื่องก่อราวอีกเลยเถอะนายน้อย
เจ้านายเขาประเมินค่าแต้มความสามารถเขาสูงไปแล้ว
ต้องรู้ว่าสองหมัดยากจะต่อกรกับสี่มือ
แม้แต่โจ้วเจ๋อเฉินและเจี่ยงซิ้วหยวี่ก็ยังผวา
แถมยิ่งโมโหขึ้นไปอีก มันเรื่องราวอะไรกันนี่ เขาลงไม้ลงมือกับคนยังพอรับฟังได้
แต่เขาก็ซักถามไปธรรมดาๆ ดันยิ่งอาละวาดหนักพังข้าวของวินาศมากขึ้น
ยังไงก็ตาม ในเวลานั้นเอง
เขาก็คลายโกรธลง เจ้าหนุ่มวัยรุ่นดูแล้วละอ่อนน้อยเหลือเกิน ดูท่าว่าจะมานี่เป็นครั้งแรก
พวกเขาน่ะเป็นนักธุรกิจตัวจริงเสียงจริง ไม่ใช่นักเลงอันธพาล ในสถานการณ์ที่เขาจับต้นชนปลายไม่ถูกนี้
เจี่ยงซิ้วหยวี่ก็จิ้มมือถือเรียกหัวหน้าการ์ดมาทันที
เป็นธรรมดา เมื่อเหตุวุ่นวายที่นี่ใหญ่โตก็ย่อมแจ้งเตือนถึงฝ่ายรักษาความปลอดภัย
พักหนึ่ง กลุ่มชายหุ่นหมี พากันมาถึงพร้อมกับหน้าเหี้ยมโหด
ไป๋จิ่งยิ้มเยาะ เขาเห็นละว่าคลับนี่เป็นแบบไหน
ชัดเลยว่าชุมโจร
“ตรงนั้นฝีมือนายเหรอ?” ผู้นำของกลุ่มคนถามด้วยสีหน้าทะมึน
ดวงตาเขาหรี่ลงเมื่อเห็นรูปลักษณ์ของไป๋จิ่ง
โจ้วเจ๋อเฉินทนไม่ไหว ถึงแม้ว่าเขาจะโมโหหนุ่มน้อยคนนี้
แต่เขาก็รู้สึกสงสารเอ็นดูเขาอยู่นิดๆ มองดูหนุ่มน้อยที่อยู่เบื้องหน้า ดูช่างแสนเหินห่างเยียบเย็น แม้ว่าในใจรู้สึกหมั่นเขี้ยว แต่ก็รู้สึกว่าน่าเอ็นดูอยู่นิดนึง
ไม่อยากเห็นเขาตกไปอยู่ในมือของคนพวกนี้
ไม่ทันรั้งรอจะพูดอะไรโต้ตอบ
เขาเห็นฝ่ายนั้นเตะแนวราบ เหินลอยกวาดข้ามไป เคลื่อนไหวชัดเจนเฉียบคม
ชายร่างใหญ่โดนอัดไม่ทันตั้งตัวติด เขาโดนเตะเข้าอย่างจัง เขาที่ลำตัวยังขดหงิกงอก็พุ่งหัวตัวเองไปชนเข้ากับโต๊ะที่อยู่ถัดไป
จนเลือดพุ่งกระฉูด
ปฏิกิริยาแรกของโจ้วเจ๋อเฉินคือยกมือปิดใบหน้าของเขาและเลยค่อยรู้ว่าเด็กน้อยนับว่าลงมือกับเขาอย่างเบามือแล้ว
“อ๊าาา -” มีพวกขี้กลัวอยู่บ้าง
บางคนร้องออกมา
“เป็นเรื่องแล้ว”
“เรียกรถพยาบาล!”
บางคนถึงกับตาตื่น
และเรียกแจ้งเหตุฉุกเฉิน เสียงดนตรีหยุดลงและฮอลล์ก็จ้อกแจ้กจอแจ
ไป๋จิ่งอยู่ในท่าทีทระนงเหนือหล้า ยืนหยัดกายตระหง่านงามอยู่ในโถง
ราวกระเรียนในฝูงไก่และพลันกลายเป็นเป้าความสนใจของทุกคน
“พี่ซา ไปกันเถอะ” เห็นสถานการณ์ในฮอลล์โจ้วจี๋ขมวดคิ้ว
วันนี้เขาว่าจะมาตามหาหวังเฉิง
“แป๊บนึง” เซียวส้าไม่แสดงสีหน้าใด
ดวงตาที่เหมือนแก้วอัคนีของเขาตรึงอยู่กับหนุ่มน้อยกลางลาน ที่ในหัวใจของเขานั้นปรากฎความมุ่งมั่นที่ทะยานขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน..
“พี่ซา เด็กนั่นเป็นเด็กไม่ดี” เห็นกับตาของเขา
หันเหยี่ยนรีบเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงประตูทางเข้า เล่าแต่ว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ไม่เพียงจะเจ้าอารมณ์
ยะโสโอหัง ไม่เห็นหัวใคร เขายังชอบก่อเรื่อง ถึงเขาจะชอบเวลาที่ใครซักคนก่อเรื่องให้คลับจักรพรรดิเดือดร้อน
เด็กหนุ่มคนนี้คาดเดาไม่ได้ และเขามองว่าคนแบบนี้ไม่คู่ควรกับพี่ชายเขา
ขณะที่พวกเขาสนทนากันที่นี่
ก็มีกลุ่มชายร่างใหญ่รุดมาที่นั่น สายธารเหล่าร้ายพรูพรั่งออกมา
ใบหน้านั้นเหี้ยมและเกรี้ยวกราด ตะละคนที่เข้าข้างไป๋จิ่งพากันเหงื่อตกเย็นเยี่ยบ
พวกเขากันวิตกว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับหนุ่มวัยรุ่นคนนี้
ผู้คนต่างมองดูทักษะของยุวชนน้อยนี้อีกที มือเตะนี่หล่อตะลึงจริงๆ
วูบหนึ่งราวประกายไฟ
เห็นไป๋จิ่งพลันถอยหลังไปสองก้าว นั่งลงนิ่มนวล ทุกคนพากันงุนงง
และแม้แต่กลุ่มชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ยังอึ้ง
หวางเสวี่ยปิงเส้นเครียดขึ้นพรึ่บเขาจนปัญญาแล้วกับนายน้อยของเขา
แต่ใครใช้เขาเป็นบอดี้การ์ดเล่า? ยามเขาเห็นชายฉกรรจ์คนหนึ่งมุ่งเข้ามา หวางเสวี่ยปิงไม่ต้องคิด
เคลื่อนเข้าขวางอย่างว่องไวที่ด้านหน้าไป๋จิ่ง สองมือก็ไม่ชักช้าผลัวะเข้าตรงๆ จากจุดอ่อนของชายผู้นั้นก็โยกไปหาคนอื่น
ถึงแม้ว่าจะเป็นหนึ่งต่อหก แต่หวางเสวี่ยปิงไม่เสียเปรียบแม้แต่น้อย และ เก่งกล้าสามารถเป็นอย่างยิ่ง
เห็นว่าเสียงที่นี่ดังขึ้นเรื่อย ๆ คนอีกกว่ายี่สิบคนรีบพุ่งเข้ามา
ไป๋จิ่งไม่บังอาจขยายเหตุในขณะนั้น เขายิ้มอย่างเย็นชาที่มุมปาก
อาจบางทีเขาควรลองใช้ทักษะของตัวเองด้วย!
“มีอะไรกัน มีอะไร?” ในขณะนั้น
เสียงที่ดังกึกก้องของหวังเฉิงก็ดังมาถึง เขาเปิดประตูออกและหวังเฉิงก็ออกมาพร้อมสีหน้าไม่แฮปปี้
เซี่ยหมินเหิงก้าวตามหลังเขาออกมา พร้อมกับจ้องมองเขาอย่างดุร้าย
แม้ว่าสีหน้าจะดูลำบากใจ แต่ก็ยังได้โชคช่วยและไม่มีริ้วรอย
สายตาวอกแวกของหวังเฉิงกลายเป็นลุ่มหลงไปเมื่อเขาเห็นไป๋จิ่ง
ดวงตาทั้งคู่ฉายแววเร่าร้อนจ้องมองไป๋จิ่งขึ้นลง แม้แต่ยี่สิบกว่าคนต่างไม่บังอาจผลีผลามภายใต้คำสั่งของเขา
“กล้ามองอีก ฉันจะควักลูกตาแก” ดวงหน้าของไป๋จิ่งร้ายกาจนัก
ด้วยในใจเขาที่เดือดาลต่อครั้งแรกที่มีคนบังอาจกล้ามองตัวเขาแบบนี้
โดยไม่ต้องว่าถึงจะทำเพื่อเซียวส้าเลย
ไป๋จิ่งพลันตัดสินแล้วว่าต้องประหารเขาให้ตกตาย
“ เฮอะ เฮอะ ควักดีๆ ควักดีๆ ถ้าน้องชอบมัน
พี่จะให้ลูกตาน้อง เอางี้ดีกว่าเดี๋ยวยกลูกกะโ...ข้างล่างให้ ” หวังเฉิงไม่เห็นเป็นเรื่องจริงจังตรงไหนกลับกลายเป็นว่าเขารู้สึกตื่นเต้น
ยิ่งอายุเยาว์เท่าไหร่ ก็ยิ่งกลายเป็นเร้าใจให้เล่นเท่านั้น
“ ฮ่าฮ่า ๆ ๆ !” ผู้คนรอบ
ๆ เลยพากันหัวเราะ ถ้อยคำที่ว่าด้วยการกระทำยังลอยล่องอยู่อย่างนั้น ราวกับไป๋จิ่งตอนนี้ถูกจับถอดเสื้อผ้า
เซียวส้ามัวหม่นจ้องมองไปที่เบื้องหน้า
กายเขาเริ่มเย็นเยียบ ดวงตาคมเยียบเย็น วาบแววสังหาร
หันเหยี่ยนถึงกับอึ้ง พี่ใหญ่ไม่ควรจริงจังกับเรื่องนี้
คงต้องเป็นเพราะหวังเฉิง พี่ใหญ่นั้นเย็นชา แล้วก็หัวใจเย็นชาเสมอมา เขาเชื่อไม่ลง
พี่ใหญ่ถูกล่อลวงโดยหนุ่มน้อยที่เขาเห็นแค่สองหนเท่านั้น
ขณะที่เขากำลังคิดอยู่ ในหูก็แว่วเสียงสุดจะต้านทานที่เลี่ยงหลบไม่ได้จากเซียวส้า
“ ปกป้องให้ได้ ”
“พี่ซา” หันเหยี่ยนขมวดคิ้ว
และตอนนี้สถานการณ์ออกมาเป็นว่าไปปกป้องคน แน่นอนว่าจะก่อเรื่องยุ่งยาก
เขาไม่กลัวว่าตัวเองจะเป็นอะไร แต่เขากลัวว่าเรื่องจะโยงไปถึงพี่ซา เรื่องมาที่นี่เขาเองไม่เห็นด้วย
ยังไงที่นี่ก็พื้นที่ของเซียวหง กำลังพลก็เปลี่ยนยกชุด ถ้าเกิดมีอะไรโฉ๋งฉ่างขึ้นจนลุกขึ้นมาตรวจสอบกัน
พี่ซาจะทำยังไง?
แต่เขาไม่ต้องกังวลแล้ว "ปัง!"
"ปัง!" เสียงปืนดังขึ้นสองนัด ทั้งฮอลล์เงียบกริบ แล้วจากนั้นก็มีเสียงกรีดร้องทุกคนพากันถอยหลังโดยไม่ตั้งใจ
“ฆ่าคนตาย…” เสียงของความหวั่นผวาและหวาดกลัวดังขึ้น
เห็นดวงตาของไป๋จิ่งไม่แปรเปลี่ยน ถือปืนไว้มือหนึ่ง มองลงดูชายที่นอนอยู่บนพื้น
ร่างเขายังสั่นเทา เลือดกระจายเปื้อนพื้นในฉับพลัน
“นายเป็นใคร กล้าดีมาคลับจักรพรรดิเพื่อขยี้ถิ่นเรา?”
แกนนำกระชากกระชั้นถ้อยคำออกมา และจ้องเขม็ง แต่ไม่กล้าขยับไปข้างหน้า
สายตาของเขาตื่นกลัว แต่เขาไม่ได้เดินหน้าต่อไป
หวางเสวี่ยปิงตะลึงงัน ดวงตาของนายน้อยทำให้เขาประหลาดใจ
ราวกับเขาไม่ได้ยิงคนไป แต่เป็นมดแมงต้อยต่ำ สมรรถนะแม่นปืนของนายน้อย และทักษะของนายทำเอาเขาทึ่ง
เขารู้ว่านายน้อยมีปืน นายท่านได้จัดแต่งเครื่องอาวุธให้เขาตั้งแต่ต้นในช่วงสองปีแรก
แต่เขาไม่เคยรู้เลยว่าเทคนิคแม่นปืนของนายน้อยจะแม่นยำอย่างนี้ สองนัดจับเล็งไปที่หัวเข่า
ชายคนนั้นคงเดินไม่ได้ไปตลอดชีวิต
ในใจของหวางเสวี่ยปิงวุ่นวายมาก แต่ก็สับสนอยู่ไม่นาน
ถึงนายน้อยจะเปลี่ยนไปอย่างไร เขาก็เป็นบอดี้การ์ด และนายน้อยก็คือนายจ้าง นายน้อยไม่ได้รังเกียจอะไรเขากับเฉาเหลย
ว่ากันตามตรงในใจเขามีความสุขมาก
“พี่หงมาแล้ว พี่หงมาแล้ว” ไม่รู้ว่าใครตะโกน
ผู้คนที่อยู่ด้านหน้าก็ต่างพากันเปิดทางเดี๋ยวนั้น
ไป๋จิ่งมองผาดผ่านไปอ่อยเอื่อย ไร้ร่องรอยอารมณ์ในสีหน้าเย็นชาไม่หวั่นไหว ผู้เข้ามาคนนั้นดูคล้ายกับเซียวส้า ต่างไปจากความอำมหิตของเซียวส้า
เขาดูจะนุ่มนวลกว่า หากแต่ในดวงตาทะเยอทะยาน มีความเลวทรามสามานย์ที่สุดบรรยาย
คนข้างหลังของเขาเล็งปืนมาที่ไป๋จิ่ง ในฮอลล์เงียบงัน
“ใครไม่เกี่ยวข้องออกไปก่อน วันนี้พวกเราหงเกอขอเชิญ
ยินดีต้อนรับทุกท่านกลับมาอีกครั้งในครั้งหน้า ผู้นำกลุ่มคลับจักรพรรดิยินดีเติมเต็มให้ท่านจนกว่าจะพอใจ”
“งั้นพวกเราเล่นอะไรได้หมดซิ”
บางคนพูดตลก มองไปที่ไป๋จิ่งอย่างลามปาม
“ใช่ ใช่ ใช่ ถ้าตกลงกันได้ คุณอยากจะเล่นอะไรก็เล่นได้”
“ปัง!”
เสียงยิงปืนอีกนัด ผู้ที่พูดคำไม่สมควรเมื่อครู่
มองไปยังไป๋จิ่งอย่างดุดัน แล้วก้มมองมองดูเลือดพรั่งออกจากหน้าอกของเขาจวบ
จนกระทั่งวินาทีที่เขาล้มตัวลง เขายังไม่เชื่อเลย
ใบหน้าของเซียวหงนั้นเผือดซีด เขาคาดไม่ถึงว่าในสถานการณ์อย่างนั้น
ชายวัยรุ่นคนนี้จะกล้าทำร้ายคนอื่นจริงๆ
ชายที่อยู่ด้านหลังเขาเริ่มไหวกาย หากยังไม่ทันมีเวลาลั่นไก
“ปัง”
เขาล้มลงกับพื้น นัดนั้นยิงเข้ากลางหว่างคิ้ว มันไม่ใช่แค่เอาให้เจ็บ
ไม่มีใครกล้าหัวเราะกันต่อ ความกลัวห้อมล้อมพวกเขาโดยพลัน
คราวนี้เอาถึงตายกันจริงๆ
หวางเสวี่ยปิงกระชากปืนของเขาออกมาเตรียมพร้อม
ร่างกายของเขาเกร็งเครียดตึง หัวใจของเขาร้อนรนอยู่ลับๆ เฉาเหลยทำไมถึงยังไม่มาอีก
เขาไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับพวกนี้ แต่จากปืนและกระสุนของพวกมัน หวางเสวี่ยปิงมองดูรู้ว่าพวกนี้เกี่ยวข้องเป็นพวกแก็งค์ใต้ดิน
ฝูงชนนั้นสายเกินจะโยกย้ายอพยพออกไปข้างนอก
ด้วยเสียงหวอจากรถตำรวจ เซียวหงกระแทกดับก้นบุหรี่โดยแรง ไม่ใช่เวลาให้ตำรวจเข้ามาเลย
ปืนโดนเก็บกันให้ว่อง
หวางเสวี่ยปิงรู้สึกโล่งใจ
ตำรวจโผล่มาในเวลาไม่นานนัก ล้อมกรอบพวกเขาไว้
นายตำรวจที่นำทีมป่าวประกาศอย่างเย็นชา“ ได้ยินว่ามีคนได้รับบาดเจ็บจากเหตุยิงกันใช่ไหม?”
จากนั้นดวงตาของเขาก็ปัดไปยังไป๋จิ่งและหวางเสวี่ยปิง
พวกเขาทั้งสองเป็นพวกเดียวที่ถือปืนไว้ในมือ
ในเมืองนั้นต่างก็รู้ถึงพฤติกรรมของพวกแก็งค์ใต้ดินดี
แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำอะไรในที่แจ้ง พวกเขาจะเปิดตาข้างหนึ่งและปิดตาอีกข้างนึง
แต่วันนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เรื่องทำร้ายร่างกายคนในที่สาธารณะถึงเขาจะไม่ได้อยากมา
เขาอดไม่ได้ต้องบ่นเรื่องเซียวหงอยู่ในใจ แล้วนี่พวกเขาเล่นอะไรกันอยู่นี่ แต่ก็มีคนที่มีอำนาจเหนือเขา
เขาไม่กล้าเป็นศัตรูด้วย พอเห็นมีคนอื่นถือปืนอยู่ ค่อยรู้สึกโล่งใจ
แต่กำลังที่เขาจะหลุดปากพูดอยู่แล้ว มีคนตะโกนว่า“
ผู้กำกับมา”
นายร้อยตะลึงอึ้งไปครู่หนึ่ง ใจเริ่มพะวงสงสัย
เขาไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกมาตอนนั้น ได้แต่รอให้เจ้านายเป็นคนเอ่ยปาก
ผู้กำกับเป็นชายวัย 40 รูปร่างอ้วนนิดๆเขาดูท่าทางปริวิตกอยู่เล็กน้อย
เมื่อเห็นไป๋จิ่งปลอดภัยไร้ริ้วรอย เขาก็ถอนใจเฮือกอย่างโล่งอกปาดเหงื่อ “คุณชายไป๋มาถึงในเมือง
N ไม่บอกกล่าวสักคำ ผมนี่ทึ่งจริงๆว่าคุณลงมือจัดแจงเองก่อนแล้ว
ผมต้องขออภัยด้วยขอรับ”
ไป๋จิ่งพยักหน้า ลดปืนลงกวาดตามองโดยรอบ “
นี่มันอะไรกัน? วุ่นวายจริง ที่นี่ล้อมกรอบจะรุมฉัน
ตัวใหญ่ของที่นี่มาคร่ากุมฉัน”
“นี่…นี่……”
ผู้กำกับลังเล เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไรที่นี่ แม้ว่าไป๋จิ่งจะเป็นดังองค์ชายรัชทายาทใต้ดาวแดง
แต่ยังไงก็ตาม ท่านสส. ไป๋ก็ยังไกลห่างจากตำแหน่งจักรพรรดิ ยังไม่ต้องพูดถึงว่า ผลประโยชน์เขาเองก็ดูจะได้รับต่ำไปหน่อย
หน้าของเซียวหงดูไม่จืด รู้แล้วว่าเขาคงต้องเจอตอเมื่อเห็นสถานการณ์
เขาเกลียดพวกที่ก่อเรื่องจริงๆ
“ได้ยินมาว่าคุณต้องการย้ายไปจังหวัด X
ในปีนี้ใช่ไหม” ไป๋จิ่งถามเรียบๆ
โชคดีนะเนี่ย ถึงเขาจะไม่สนใจเรื่องราวเป็นมาของเซียวส้า แต่เรื่องผู้นำประเทศเขายังสนใจอยู่นัก
มีคนเชิญพ่อเขาเป็นผู้นำอีกด้วย
ผู้กำกับยิ้มเจื่อนอย่างลำบากใจ แอบผวาลับๆ
เขาเพิ่งรู้เรื่องนี้ได้ยังไม่ถึงสองวัน ยังไม่ได้ออกปากอะไร ได้แต่เพียงฟังไป๋จิ่งพูดว่า
“ที่นั่นไม่ดี ไปเมือง G ดูท่าจะไปได้”
สีหน้าหัวหน้าเปลี่ยนเป็นคล้ำเครียด
ใครไม่รู้มั่งว่าเมือง G เป็นเมืองเล็ก
ทุรกันดารไกลบ้านเมืองล้าหลัง แล้วจากอยู่ระดับจังหวัดลงไปเป็นเมืองนี่นะ
แล้ว-ท่าจะไปได้-นี่น่ะนะ ข้าไปโง่ตอนไหนเนี่ย แต่ถึงเขาจะคิดยังไง
ท่าทีก็ต้องระวังไว้ก่อน:” คุณชายไป๋เรื่องทำร้ายร่างกายนี่…”
ไป๋จิ่งยิ้มเย็น “ ก็แค่ป้องกันตัวเอง”
ข่มขู่มันให้แน่ใจอย่างนี้ “ พวกเขาทุกคนก็มีปืนในมือ
ถ้าฉันไม่เตรียมป้องกันตัวไว้ก่อน ไม่ใช่ว่าคุณพ่อคงได้มาเก็บศพฉันแล้ว”
หัวหน้าตำรวจพูดไม่ออก เขารู้ว่าไป๋จิ่งพูดความจริง
ถึงแม้ที่ไป๋จิ่งทำจะไม่ใช่การป้องกันตัวเอง มีหลายคนมากที่มีปืน
แล้วคุณชายไป๋เพิ่งฆ่าคนตาย เกรงว่าจะไม่มีใครกล้าออกมาพูด แต่เซียวฮงนั้นเขารู้สึกคับข้องใจอยู่บ้าง
เขายิ้มกว้างเกินเหตุ “ ผมไม่รู้ว่ามีอะไรกัน ทำให้คุณไป่โกรธมาก”
ไป๋จิ่งยักมุมปากนิดๆ ผายมือออก
แล้วเอ่ยหยันๆ “ฉันแค่อยากเข้ามาดูอะไรสักหน่อย
ใครจะไปรู้ว่าจะมีคนตาไม่ถึง แล้วการ์ดก็แห่กันมา นี่ก็ช่วยไม่ได้หรอกนะ”
โจ้วเจ๋อเฉินหลั่งเหงื่อเย็นเจี๊ยบ
เขารู้แล้วว่าตัวเองเป็นต้นตอสร้างดาวมารร้าย ผู้กำกับนอบน้อมกับเด็กหนุ่มคนนี้เหลือเกิน
ตัวตนเด็กนี่ดูแล้วไม่ง่ายแน่ๆ แค่จริงๆแล้วเขาเจอกับความอยุติธรรม ฟ้าเป็นพยานเขาแค่มีน้ำใจเฉยๆ
เจี่ยงซิ้วหยวี่มองไปที่เพื่อนของเขาด้วยความกังวล
ถึงพวกเขาจะมีหน้ามีตาในเมือง N แต่เขาก็รู้ว่าสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐไม่ไหว
และเจ้าหนุ่มนี่พูดจาท่าทีออกมาแล้วชวนให้คนโมโห เมื่อได้ยินเขาพูดสิ่งต่าง ๆ แบบไม่มีน้ำหนักเอาเลย
แต่ใครไม่อยู่ที่นี่ยังฟังออกเลยว่า ฝ่ายเขาเป็นคนเริ่มก่อน
จิตใจของหัวหน้าตำรวจอลหม่าน เขาคิดว่าจะจับแพะได้อย่างไร
“ผมก็ไม่รู้ว่าไอ้คนไหนที่ตาไม่ถึงนั่น
ประเทศเรามีระบบกฎหมาย อย่างนั้นเราต้องลงโทษเขาเอาให้หนัก”
ไป๋จิ่งยิ้มและมองดูเขายิ้มๆ “ ถูกของคุณ ประเทศของเราที่จริงน่ะเป็นสังคมเคารพกฎหมายที่ดี”
เปลี่ยนไปเพ่งมองทุกคน ใจของโจ้วเจ๋อเฉินแน่นขึ้นมา เห็นหนุ่มน้อยเหลือบมองเขา
แล้วได้ยินประโยคแผ่วเบาว่า “ฉันจำไม่ได้นี่สิ”
ทุกคนพากันอั้นอึดอัด แต่ไม่มีใครออกมาพูดอะไร
ตระกูลจ้าวเองมีเส้นใหญ่อยู่ในเมือง N ส่วนหนุ่มวัยรุ่นคนนี้แม้ผู้กำกับยังนอบน้อมซะขนาดนั้น
ดังนั้นก็เป็นธรรมดา ว่าไม่มีใครแย้ง
โจ้วเจ๋อเฉินเองก็งันไปเหมือนกัน เขาเป็นคนที่เห็นกันจะแจ้งว่าดันมีรอยฝ่ามือแปะอยู่บนใบหน้า
แต่ดันทำกันเหมือนว่าไม่มีใครเห็นว่ามีรอยอะไรนั้นสักหน่อยท่ามกลางหมู่คนที่เงียบกริบ
แต่เขาก็เข้าใจอยู่ในใจว่า เด็กคนนั้นอาจจะบางทีกำลังลองลงมาสัมผัสวิถีชีวิตที่แตกต่าง
แต่แค่เขาเองนี่แหละไปวิ่งชนกระบอกปืนเอง พอเรื่องมันจบแล้วเขาก็โดนลอยแพ
เขาอยากเข้าใจ เพื่อนๆของเขาก็เป็นธรรมดาว่าอยากเข้าใจเหมือนกัน
พากันมองมาที่โจ้วเจ๋อเฉินอย่างเห็นอกเห็นใจ ประเด็นคือเคราะห์ร้ายเดี๋ยวก็ผ่านพ้นไป
โจ้วเจ๋อเฉินในใจนี่รู้สึกหดหู่
แต่เขาก็รู้ว่าเขาเข้าตาจนแล้ว ในโลกนี้เป็นคนดีไม่พอหรอก ไป๋จิ่งให้บทเรียนกับเขา
แต่เขาจะยังไม่รู้หรอกว่ามันจะช่วยชีวิตเขาได้ขนาดไหน ในอนาคตข้างหน้า
No comments:
Post a Comment